เคล็ดลับแห่งความสุข

9/14

8. เติบใหญ่ขึ้นในพระเยซู

พระคัมภีร์เรียกการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่ทำให้เราได้เป็นบุตรของพระเจ้าว่าการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์ยังเปรียบเทียบการบังเกิดใหม่นี้กับการแตกหน่อของเมล็ดดีที่ชาวนาหว่านลงไป ในทำนองเดียวกัน ผู้ที่กลับใจใหม่ในพระคริสต์เปรียบเหมือน “ทารกแรกเกิด” “เพื่อจะเจริญขึ้น” เป็นชายและหญิงในพระเยซูคริสต์ 1 เปโตร 2:2; เอเฟซัส 4:15 ดั่งเมล็ดดีที่หว่านลงในทุ่งนาเจริญงอกงามขึ้นและเกิดผล อิสยาห์กล่าวว่า “คนจะเรียกพวกเขาว่าต้นโอ๊กแห่งความชอบธรรม ที่พระยาห์เวห์ทรงปลูกไว้เพื่อสำแดงพระสิริของพระองค์” อิสยาห์ 61:3 ดังนั้น จึงได้นำเรื่องราวชีวิตในธรรมชาติมาใช้เป็นตัวอย่างเพื่อช่วยอธิบายให้เราเข้าใจความจริงที่ลึกลับของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ {SC 67.1} ThSC 60.1

ปัญญาและความสามารถทั้งหมดของมนุษย์ไม่อาจทำให้เกิดชีวิตเล็กที่สุดในธรรมชาติได้ ทั้งพืชหรือสัตว์จะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยชีวิตที่พระเจ้าประทานให้เท่านั้น เช่นเดียวกัน ชีวิตฝ่ายวิญญาณจะบังเกิดขึ้นในหัวใจมนุษย์ได้ก็ด้วยชีวิตที่มาจากพระเจ้า ถ้ามนุษย์ไม่ได้ “เกิดใหม่” เขาจะมีส่วนในชีวิตซึ่งพระคริสต์เสด็จมาประทานให้ไม่ได้ ยอห์น 3:3 {SC 67.2} ThSC 61.1

การเติบใหญ่ขึ้นจะมีลักษณะเหมือนเช่นกับการมีชีวิต พระเจ้าทรงเป็นผู้กระทำให้ดอกตูมนั้นบานและจากดอกทำให้เกิดเป็นผล ด้วยอำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เมล็ดเกิดขึ้น “เป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง” มาระโก 4:28 และผู้เผยพระวจนะโฮเชยากล่าวถึงชนชาติอิสราเอลว่า “เขาจะเบิกบานอย่างดอกลิลลี่” “เขาจะเจริญขึ้นเหมือนข้าว จะออกดอกเหมือนเถาองุ่น” โฮเชยา 14: 5,7 และพระเยซูทรงบัญชาให้เรา “พิจารณาดูดอกไม้ว่ามันเติบโตขึ้นอย่างไร” ลูกา 12:27 ต้นพืชและดอกไม้ไม่อาจงอกงามขึ้นด้วยการใส่ใจหรือความร้อนใจหรือความพยายามของมันเอง แต่จะเจริญเติบใหญ่ขึ้นได้ด้วยสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อเลี้ยงดูชีวิตของมัน เด็กไม่อาจขยายรูปร่างของตนให้ใหญ่ขึ้นได้ด้วยความห่วงใยหรือด้วยพละกำลังของตนเอง ชีวิตฝ่ายวิญญาณของท่านไม่อาจเติบใหญ่ขึ้นได้จากความทุกข์ร้อนใจ ความกังวลหรือความพยายามของตัวท่านเอง ต้นพืช เด็ก เติบใหญ่ขึ้นด้วยการรับสิ่งต่างๆ รอบตัวที่รับใช้ชีวิตของเขาทั้งหลาย ซึ่งได้แก่ อากาศ แสงแดด และอาหาร ธรรมชาติให้ของขวัญเหล่านี้แก่ทั้งพืชและสัตว์ ในทำนองเดียวกันพระเจ้าประทานสิ่งเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงเป็น “ความสว่างของเจ้าเป็นนิตย์” “เป็นดวงตะวันและเป็นโล่” อิสยาห์ 60:19; สดุดี 84:11 พระองค์ทรง “เป็นเหมือนน้ำค้างแก่อิสราเอล” “เป็นเหมือนฝนที่ตกบนหญ้าซึ่งตัดแล้ว” โฮเชยา 14:5; สดุดี 72:6 พระองค์ทรงเป็นบ่อน้ำพุแห่งชีวิต เป็น “อาหารของพระเจ้า. . . . .ที่ลงมาจากสวรรค์ และประทานชีวิตให้กับโลก” ยอห์น 6:33 {SC 67.3} ThSC 61.2

เมื่อพระเจ้าประทานพระบุตรของพระองค์มาเป็นของขวัญที่ไม่อาจจะประเมินค่าได้ พระองค์ได้ทรงโอบล้อมโลกทั้งใบนี้ไว้ด้วยบรรยากาศแห่งพระคุณ เหมือนกับอากาศที่กระจายอยู่รอบโลก ทุกคนที่เลือกหายใจด้วยบรรยากาศที่ให้ชีวิตนี้ จะมีชีวิตและเติบใหญ่ขึ้นเป็นชายและหญิงในพระคริสต์ {SC 68.1} ThSC 62.1

เช่นเดียวกับที่ดอกไม้หันเข้าหาดวงอาทิตย์เพื่อแสงสว่างจะช่วยให้ดอกไม้นั้นงดงามและสมดุลอย่างบริบูรณ์ เราจึงควรหันไปยังดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมเพื่อแสงสว่างจากสวรรค์จะส่องลงมายังเรา เพื่ออุปนิสัยของเราจะได้พัฒนาขึ้นจนเป็นเหมือนพระฉายาของพระคริสต์ {SC 68.2} ThSC 62.2

พระเยซูทรงสอนเรื่องเดียวกันนี้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “จงติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับพวกท่าน แขนงจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดสนิทอยู่กับเถา พวกท่านก็เช่นเดียวกันจะเกิดผลไม่ได้. . . .เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” ยอห์น 15:4, 5 ท่านจะต้องพึ่งพระคริสต์ เพื่อชีวิตของท่านจะบริสุทธิ์ เหมือนเช่นกิ่งที่ต้องพึ่งลำต้นเพื่อจะงอกและเกิดผล หากท่านแยกตัวเองออกจากพระองค์ ท่านจะไม่มีชีวิต ท่านไม่มีอำนาจต่อต้านการทดลองหรืออำนาจที่จะเจริญขึ้นในพระคุณและความบริสุทธิ์ จงเข้าสนิทกับพระองค์ แล้วท่านจะรุ่งเรือง จงหล่อเลี้ยงชีวิตของท่านจากพระองค์ เพื่อท่านจะไม่เหี่ยวเฉาหรือไร้ผล ท่านจะเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ {SC 68.3} ThSC 62.3

มีคนมากมายคิดว่าเขาต้องทำบางอย่างด้วยตัวเอง พวกเขาวางใจพระคริสต์ที่ให้อภัยบาป แต่บัดนี้เขาใช้ความสามารถของตนเองเพื่อดำรงชีวิตให้ถูกต้อง แต่ความพยายามเหล่านี้จะล้มเหลว พระเยซูตรัสว่า “แยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” การเติบใหญ่ขึ้นในพระคุณ ความสุขของเรา การทำงานที่เกิดประโยชน์ สิ่งเหล่านี้จะขึ้นกับการเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์ โดยการสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ทุกวัน ทุกชั่วโมง ซึ่งเป็นการติดสนิทกับพระองค์เพื่อที่เราจะเติบใหญ่ในพระคุณได้ พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้บุกเบิกความเชื่อของเราเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นผู้ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ พระคริสต์ทรงเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลายและทรงเป็นอยู่ตลอดกาล พระองค์จะทรงอยู่ร่วมกับเรา ไม่ใช่ที่จุดเริ่มต้นและที่จุดสุดปลายเท่านั้น แต่ตลอดทุกย่างก้าว กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพเจ้าตั้งพระยาห์เวห์ไว้ตรงหน้าเสมอ เพราะพระองค์ประทับที่ขวามือ ข้าพเจ้าจึงไม่หวั่นไหว” สดุดี 16:8 {SC 69.1} ThSC 62.4

ท่านถามใช่หรือไม่ว่า “ข้าพเจ้าจะติดสนิทกับพระคริสต์ได้อย่างไร” ก็ด้วยวิธีเดียวกันกับที่ท่านได้ยอมรับพระองค์ตั้งแต่ต้น “เพราะฉะนั้นในเมื่อพวกท่านรับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ด้วย” “คนชอบธรรม. . . . .จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ” โคโลสี 2:6; ฮีบรู 10:38 ท่านมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้วเพื่อให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด เพื่อรับใช้และเชื่อฟังพระองค์ และท่านรับพระคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ท่านไถ่บาปของท่านเองด้วยตัวของท่านเองไม่ได้หรือเปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านเองไม่ได้ แต่ท่านเชื่อว่า โดยการมอบถวายตัวท่านเองให้พระเจ้าแล้ว พระองค์ทรงกระทำการทั้งหมดนี้ให้ท่านโดยเห็นแก่พระคริสต์ โดยความเชื่อท่านเป็นของพระคริสต์แล้ว และโดยความเชื่อท่านจะเติบใหญ่ขึ้นในพระองค์ ทั้งจากการมอบให้และการรับ ท่านจะต้องมอบทุกสิ่งรวมทั้งจิตใจ ความตั้งใจและการรับใช้ของท่าน มอบถวายตัวท่านเองให้พระองค์โดยเชื่อปฏิบัติตามข้อกำหนดทั้งหมดของพระองค์ และท่านจะต้องยอมรับทั้งหมด คือ พระคริสต์ ผู้ทรงเต็มล้นด้วยพระพรทั้งหมด ให้เข้ามาสถิตในดวงใจของท่าน เพื่อเป็นกำลังของท่าน เป็นความชอบธรรมของท่าน เป็นพระผู้ช่วยนิรันดร์ของท่าน และพระองค์จะประทานอำนาจให้แก่ท่านที่จะเชื่อปฏิบัติตามได้ {SC 69.2} ThSC 63.1

จงถวายตัวของท่านให้พระเจ้าทุกเช้า ให้เป็นภารกิจแรกที่ท่านทำ ให้อธิษฐานว่า “โอข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดรับข้าพระองค์ให้เป็นของพระองค์ทั้งหมด ข้าพระองค์ขอวางแผนการทั้งหมดของข้าพระองค์ไว้ที่เบื้องพระบาทของพระองค์ โปรดใช้ข้าพระองค์ในพระราชกิจของพระองค์ในวันนี้ ขอทรงโปรดสถิตอยู่กับข้าพระองค์และโปรดให้งานทั้งหมดของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” นี่คือสิ่งที่เราต้องทำทุกวัน ท่านจะต้องมอบถวายตัวให้พระเจ้าทุกเช้า มอบถวายแผนการทั้งหมดของท่านให้พระองค์เพื่อจะทำให้สำเร็จหรือล้มเลิกไปตามการทรงนำของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ ท่านจะมอบถวายชีวิตของท่านให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทุกวัน และชีวิตของท่านจะถูกปั้นแต่งให้เหมือนชีวิตของพระคริสต์ได้มากยิ่งขึ้น {SC 70.1} ThSC 63.2

ชีวิตในพระคริสต์เป็นชีวิตที่สุขสบาย เป็นชีวิตที่อาจจะไม่ตื่นเต้น แต่จะมีความวางใจที่เชื่อถือและสงบสุข ความหวังของท่านไม่ได้อยู่ในตัวของท่านเอง แต่อยู่ในพระคริสต์ ความอ่อนแอของท่านประสานเข้ากับพละกำลังของพระองค์ ความโง่เขลาของท่านประสานเข้ากับพระปัญญาของพระองค์ ความเปราะบางของท่านประสานเข้ากับพลังยั่งยืนของพระองค์ ดังนั้น ท่านจึงไม่ควรมองตัวเอง อย่าให้สมองของท่านคิดถึงแต่ตัวเอง แต่ให้มองไปยังพระคริสต์ จงให้ความนึกคิดของท่านพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ ในความงดงาม ความดีรอบคอบที่มีอยู่ในพระลักษณะของพระองค์ จงให้จิตวิญญาณใคร่ครวญอยู่เสมอถึงเรื่องการละทิ้งตนของพระคริสต์ การถ่อมตนของพระองค์ ความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ในบุคลิกของพระองค์ ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระองค์ ท่านจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ด้วยการรักพระองค์ ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และพึ่งพิงในพระองค์อย่างเต็มที่ {SC 70.2} ThSC 64.1

พระเยซูตรัสว่า “จงติดสนิทอยู่กับเรา” ข้อความนี้ให้แนวคิดของการพักผ่อน ความมั่นคง และความมั่นใจ พระองค์ยังทรงเชิญชวนต่อไปว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก” มัทธิว 11:28 ผู้ประพันธ์สดุดีให้แนวคิดในทำนองเดียวกันว่า “จงสงบอยู่ต่อพระยาห์เวห์และเพียรรอคอยพระองค์” และอิสยาห์ให้ความมั่นใจไว้ว่า “การเงียบสงบและการไว้วางใจจะเป็นกำลังของเจ้า” สดุดี 37:7; อิสยาห์ 30:15 การพักผ่อนนี้ไม่ใช่เป็นการไม่ทำอะไร เพราะในคำเชื้อเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด การพักผ่อนที่พระองค์ทรงสัญญาจะประทานให้นั้น มีคำร้องเรียกให้ทำงานรับใช้ด้วย “จงเอาแอกของเราแบกไว้. . . . .พวกท่านจะได้หยุดพัก” มัทธิว 11:29 จิตใจที่พักพิงอยู่ในพระคริสต์อย่างเต็มที่จะทำงานรับใช้พระองค์ด้วยความจริงใจและจริงจังมากที่สุด {SC 71.1} ThSC 64.2

เมื่อความคิดของเราหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ความนึกคิดของเราก็จะหันออกไปจากพระคริสต์ผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของพละกำลังและชีวิต ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงคอยพยายามอยู่เสมอที่จะหันเหความสนใจของเราออกไปจากพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งเป็นการกีดกันจิตวิญญาณจากการเข้าร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับพระคริสต์และจากการสื่อสัมพันธ์กับพระองค์ ความสุขสำราญทางฝ่ายโลก ความกังวน ความยุ่งเหยิงและความโศกเศร้าในชีวิต ความผิดของผู้อื่นหรือความผิดพลาดและความไม่สมบูรณ์ของตัวท่านเอง ซาตานจะใช้เรื่องใดเรื่องหนึ่งหรือทั้งหมดนี้เพื่อหันเหความคิดของเรา จงอย่าให้มันใช้เล่ห์กลของมันนำท่านให้หลง มีคนมากมายที่มีความนึกคิดที่รอบคอบและมีความปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในพระเจ้า เขามักจะถูกมารชักนำให้หมกมุ่นอยู่กับความผิดพลาดและความอ่อนแอของตัวเขาเองอยู่เสมอ และซาตานหวังที่จะได้ชัยชนะด้วยการทำให้เขาแยกตัวเองออกไปจากพระคริสต์ เราจะต้องไม่เอาตัวเราเองเป็นศูนย์กลางและหมกมุ่นอยู่กับความกังวลและความกลัวว่าเราจะได้รับความรอดหรือไม่ เรื่องทั้งหมดนี้จะหันเหเราออกไปจากแหล่งกำลังของเรา จงมอบการดูแลจิตวิญญาณของท่านให้พระเจ้าและวางใจในพระองค์ จงพูดและคิดถึงพระเยซู จงให้ตัวของท่านจมหายไปในพระองค์ ขจัดความสงสัยออกไปให้หมด ขับไล่ความกลัวให้ออกไป และกล่าวร่วมกับอัครทูตเปาโลว่า “ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” กาลาเทีย 2:20 จงเข้าพักพิงอยู่ในพระเจ้า พระองค์ทรงคอยเฝ้ารักษาสิ่งที่ท่านมอบถวายให้พระองค์ หากท่านจะยอมมอบถวายตัวของท่านเองให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์แล้ว พระองค์จะทรงนำพาท่านให้เป็นยิ่งกว่าผู้มีชัยชนะโดยทางพระองค์ผู้ทรงรักท่าน {SC 71.2} ThSC 65.1

เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้ในพระองค์ พระองค์ทรงผูกมัดมนุษยชาติไว้ด้วยความรักที่ไม่มีอำนาจใดจะทำให้ขาดสะบั้นไป ยกเว้นแต่เป็นทางเลือกของเขาเอง ซาตานจะคอยยื่นข้อเสนอจูงใจเพื่อชักชวนให้เราตัดความสัมพันธ์นี้อยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้เราเลือกที่จะแยกตัวเราเองออกไปจากพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่เราต้องคอยเฝ้าระวัง คอยบากบั่น คอยอธิษฐานเพื่อไม่ให้สิ่งใดมาชักนำให้เราเลือกนายอื่น เพราะเรามีเสรีภาพที่จะทำเช่นนี้ได้เสมอ แต่ขอให้สายตาของเราจ้องมองไปยังพระคริสต์และพระองค์จะทรงคุ้มครองรักษาเรา เมื่อเรามองไปยังพระเยซูคริสต์ เราจะปลอดภัย ไม่มีสิ่งใดจะถอนเราให้ออกไปจากพระหัตถ์ของพระองค์ได้ เมื่อเราเฝ้ามองพระองค์อยู่เสมอ เราจะ “เปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาขององค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ” 2 โครินธ์ 3:18 {SC 72.1} ThSC 65.2

นี่เป็นวิธีที่อัครสาวกในยุคแรกได้รับพระฉายาของพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รักยิ่งของเขาทั้งหลาย เมื่อสาวกเหล่านั้นได้ยินพระดำรัสของพระเยซู พวกเขาตระหนักดีว่า พวกเขาต้องการพระองค์ พวกเขาตามหาและได้พบ พวกเขาจึงได้ติดตามพระองค์ไป พวกเขาอยู่ร่วมกับพระองค์ในบ้าน ที่โต๊ะอาหาร ในห้องชั้นใน ในทุ่งนา พวกเขาอยู่กับพระองค์ในฐานะนักเรียนอยู่กับอาจารย์ พวกเขารับบทเรียนแห่งความจริงศักดิ์สิทธิ์จากพระโอษฐ์ของพระองค์ทุกวัน พวกเขามองดูพระองค์เช่นเดียวกับบ่าวที่มองดูนายเพื่อการเรียนรู้หน้าที่ สาวกเหล่านั้น “เป็นมนุษย์ที่มีสภาพเหมือนอย่างเรา” ยากอบ 5:17 พวกเขามีสงครามที่จะต้องต่อสู้กับบาปเหมือนกับเรา พวกเขาต้องการพระคุณเดียวกันเพื่อจะดำรงชีวิตที่บริสุทธิ์ {SC 72.2} ThSC 66.1

แม้กระทั่งยอห์น สาวกที่พระองค์ทรงรัก ซึ่งเป็นผู้ที่สะท้อนพระลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดได้มากที่สุด ก็ไม่ได้มีอุปนิสัยที่น่ารักนี้ติดตัวมาโดยธรรมชาติ ท่านไม่เพียงแต่เป็นคนที่ถือรักษาสิทธิของตนเองและทะเยอทะยานมุ่งหาเกียรติยศเท่านั้น ท่านยังเป็นคนหุนหันพลันแล่นและไม่พอใจเมื่อถูกคุกคาม แต่เมื่อท่านได้มองเห็นพระลักษณะของพระองค์ ท่านก็มองเห็นความบกพร่องในตัวเองและได้ถ่อมใจลง ท่านได้มองเห็นพละกำลังและความอดทนนาน อำนาจและความอ่อนโยน ความยิ่งใหญ่และความถ่อมตนที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันของพระบุตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ได้เติมจิตวิญญาณของท่านให้เต็มล้นด้วยความเลื่อมใสและความรัก วันแล้ววันเล่า จิตใจของท่านถูกชักนำเข้าไปหาพระคริสต์ จนกระทั่งความรักที่ท่านมีเพื่อถวายพระอาจารย์ของท่านทำให้ท่านมองไม่เห็นตนเอง อารมณ์ขุ่นเคืองและทะเยอทะยานยอมสยบต่ออำนาจแห่งการหล่อหลอมของพระคริสต์ อิทธิพลของการบังเกิดใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เปลี่ยนแปลงจิตใจของท่านใหม่ อำนาจของความรักที่ท่านมีในพระคริสต์กระทำให้อุปนิสัยเปลี่ยนแปลงไป นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเมื่อเราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระเยซู เมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในดวงใจ ธรรมชาติทั้งหมดก็จะเปลี่ยนแปลง พระวิญญาณของพระคริสต์ ความรักของพระองค์ทำให้จิตใจอ่อนโยน วิญญาณจิตสงบและยกระดับความคิดและความปรารถนาไปยังพระเจ้าและสวรรค์ {SC 73.1} ThSC 66.2

เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับสวรรค์ ผู้ติดตามของพระองค์ยังคงรู้สึกว่าพระองค์ยังสถิตร่วมอยู่ด้วย เป็นความรู้สึกของการสถิตอยู่ด้วยแบบส่วนตัวซึ่งเต็มไปด้วยความรักและมีชีวิตชีวา พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำเนิน สนทนา และอธิษฐานร่วมกับพวกเขา พระองค์ตรัสความหวังและปลอบประโลมจิตใจของพวกเขา ในขณะที่ข่าวสารแห่งสันติสุขยังอยู่ที่ริมพระโอษฐ์นั้น พระองค์ได้ถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ พระสุรเสียงของพระองค์ดังกลับมาจากหมู่เมฆอันประกอบด้วยเหล่าทูตสวรรค์ที่กำลังรับพระองค์ขึ้นไปนั้นว่า “นี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” มัทธิว 28:20 พระองค์เสด็จขึ้นไปยังสวรรค์ด้วยพระวรกายของมนุษย์ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์ที่ประทับอยู่เบื้องพระที่นั่งของพระเจ้ายังทรงเป็นพระสหายและพระผู้ช่วยให้รอดของเขา พระเมตตาของพระองค์ไม่แปรเปลี่ยน พระองค์ยังทรงมีส่วนร่วมกับมนุษยชาติที่ตกอยู่ในความทุกข์ยาก พระองค์ทรงนำเสนออำนาจที่มีอยู่ในพระโลหิตประเสริฐต่อเบื้องพระพักตร์พระบิดา ทรงแสดงให้พวกเขาดูบาดแผลที่พระหัตถ์และพระบาทของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องระลึกถึงราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายเพื่อผู้ที่พระองค์ทรงไถ่ พวกเขาทราบดีว่าพระองค์เสด็จไปสวรรค์เพื่อเตรียมสถานที่ให้พวกเขา และพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกและรับพวกเขาให้ไปอยู่กับพระองค์ {SC 73.2} ThSC 67.1

เมื่อพวกเขาร่วมประชุมกันภายหลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสวรรค์ พวกเขาร้อนรนเพื่อทูลขอต่อพระบิดาในนามของพระเยซู พวกเขาก้มลงอธิษฐานด้วยความเกรงขามและจริงจัง พวกเขาทบทวนคำสัญญาครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ถ้าท่านขอสิ่งใดจากพระบิดาในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นแก่ท่าน จนบัดนี้พวกท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ยอห์น 16: 23,24 พวกเขายื่นมือแห่งความเชื่อให้สูงขึ้นและสูงยิ่งขึ้นไป ด้วยข้อสรุปที่ยิ่งใหญ่ว่า “พระเยซูคริสต์. . . . .ผู้สิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์สถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และอธิษฐานขอเพื่อเราด้วย” โรม 8:34 และในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ องค์พระผู้ช่วยก็ได้เสด็จมาอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย เป็นองค์พระผู้ช่วยที่พระคริสต์ทรงกล่าวถึงว่า “สถิตอยู่กับท่าน” และพระองค์ตรัสต่อไปอีกว่า “การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน” ยอห์น 14:17; 16:7 นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา พระคริสต์ก็ได้สถิตอยู่ร่วมในจิตใจของเหล่าบุตรทั้งหลายของพระองค์โดยทางพระวิญญาณตลอดเวลา การเข้าร่วมเป็นหนึ่งระหว่างพวกเขากับพระองค์ก็ใกล้ชิดยิ่งกว่าในสมัยที่พระองค์ทรงอยู่ร่วมกับพวกเขา แสงสว่างและความรักและอำนาจที่พระคริสต์สถิตอยู่ร่วมกับพวกเขาได้ส่องผ่านพวกเขาออกมาเพื่อให้มนุษย์ที่มองเห็นพวกเขาจะ “อัศจรรย์ใจ แล้วจำได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู” กิจการ 4:13 {SC 74.1} ThSC 68.1

พระคริสต์ทรงเป็นทุกสิ่งของเหล่าสาวกทั้งหลาย ในทุกวันนี้ พระองค์ทรงปรารถนาที่จะให้เป็นทุกสิ่งของบรรดาบุตรของพระองค์ด้วย เพราะในคำอธิษฐานสุดท้ายร่วมกับสาวกกลุ่มเล็กๆ ที่มาเข้าเฝ้าพระองค์นั้น พระองค์ตรัสว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อทุกคนที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของพวกเขา” ยอห์น 17:20 {SC 75.1} ThSC 68.2

พระเยซูทรงอธิษฐานเพื่อเราและพระองค์ทรงเชิญชวนให้เราเข้าร่วมเป็นหนึ่งกับพระองค์ เหมือนเช่นที่พระองค์ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระบิดา ช่างเป็นการเข้าร่วมเป็นหนึ่งที่ดีอะไรเช่นนี้ พระผู้ช่วยให้รอดทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า “พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้” “พระบิดาผู้สถิตอยู่ในเราทรงทำพระราชกิจของพระองค์” ยอห์น 5:19; 14:10 เมื่อพระคริสต์ร่วมสถิตอยู่ในจิตใจของเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำกิจอยู่ภายในเรา “ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ฟีลิปปี 2:13 เราจะกระทำกิจเหมือนเช่นที่พระองค์ทรงทำ เราจะแสดงออกด้วยวิญญาณจิตเดียวกัน ด้วยประการฉะนี้ เราจะรักและเข้าสนิทกับพระองค์ เราจะ “เจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์” เอเฟซัส 4:15 {SC 75.2} ThSC 69.1