เคล็ดลับแห่งความสุข

2/14

1. ความรักของพระเจ้าที่มีให้แก่มนุษย์

ธรรมชาติและพระคัมภีร์ต่างเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้า พระบิดาแห่งสรวงสวรรค์ของเราทรงเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิต สติปัญญาและความชื่นชมยินดี จงมองดูธรรมชาติที่อัศจรรย์และงดงาม ลองพิจารณาถึงธรรมชาติที่ปรับเปลี่ยนสภาพของตนเองได้อย่างน่าพิศวง ซึ่งเกิดขึ้นไม่ใช่เพียงเพื่อผลประโยชน์และความผาสุกของมนุษย์เท่านั้น แต่เพื่อสรรพสิ่งที่มีชีวิตทั้งมวล แสงแดดและสายฝนที่นำความสุขและความสดชื่นมาให้แก่พื้นผิวโลก เนินเขา ทะเลและพื้นที่ราบ ต่างบอกให้เราทราบถึงเรื่องความรักของพระผู้ทรงสร้างโลก พระเจ้าทรงเป็นผู้ประทานสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีพให้แก่สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง ผู้ประพันธ์สดุดีได้บรรยายไว้อย่างงดงามว่า ThSC 5.1

“ดวงตาทุกดวงมองดูพระองค์ด้วยความหวัง
และพระองค์ประทานอาหารให้ตามเวลา
พระองค์แบพระหัตถ์ออก
และทรงให้สรรพสิ่งที่มีชีวิตอิ่มตามความปรารถนา”
ThSC 6.1

สดุดี 145:15, 16 {SC 9.1}

พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมและมีความสุข โลกที่สวยงามซึ่งสร้างโดยฝีพระหัตถ์ของพระผู้สร้างนั้นไม่มีร่องรอยของการเปื่อยเน่าหรือเงาของความเลวร้าย ความหายนะและความตายเข้ามาในโลกนี้ได้ก็เนื่องจากการล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งเป็นพระบัญญัติแห่งความรัก แต่ท่ามกลางความทุกข์ระทมซึ่งเป็นผลของบาป ความรักของพระผู้เป็นเจ้าก็ยังคงสำแดงให้ประจักษ์ พระวจนะได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าทรงแช่งสาปผืนแผ่นดินก็เพื่อเห็นแก่มนุษย์ ปฐมกาล 3:17 ความทุกข์ยากและความลำบากที่เป็นเหมือนเสี้ยนหนาม ซึ่งทำให้ชีวิตของมนุษย์ต้องตรากตรำและเป็นภาระนั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อประโยชน์แก่เขา เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกฝนซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในแผนการของพระองค์ที่จะฉุดเขาให้พ้นจากความหายนะและความเสื่อมสลายที่เป็นผลจากบาป แม้โลกใบนี้ได้แพ้พ่ายต่อบาปก็ไม่ได้มีแต่ความโศกเศร้าและความทุกข์ยาก ท่ามกลางธรรมชาติเองยังมีข่าวแห่งความหวังและการปลอบประโลม ยังมีดอกไม้ท่ามกลางคมหนาม และพงหนามที่ยังถูกปกคลุมด้วยดอกกุหลาบ {SC 9.2} ThSC 6.2

บนดอกไม้ที่ผลิบาน บนยอดใบเรียวงามของต้นหญ้าที่งอกขึ้นมา ต่างจารึกไว้ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” นกน่ารักที่ส่งเสียงร้องก้องในอากาศด้วยบทเพลงไพเราะแห่งความสุข ดอกไม้ที่ถูกแต่งแต้มอย่างประณีตที่ส่งกลิ่นหอมอันบริสุทธิ์ให้แก่บรรยากาศ ต้นไม้สูงใหญ่ในป่าที่ปกคลุมด้วยใบเขียวชอุ่ม ต่างเป็นพยานให้เห็นว่าพระเจ้าของเราทรงรักใคร่และห่วงใยเยี่ยงพ่อ และทรงต้องการให้บุตรทั้งหลายของพระองค์มีความสุข {SC 10.1} ThSC 6.3

พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยให้เห็นพระลักษณะของพระองค์ พระองค์ทรงประกาศถึงความรักและพระเมตตาคุณอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้ของพระองค์เอง เมื่อโมเสสกราบทูลว่า “ขอทรงสำแดงพระสิริของพระองค์แก่ข้าพระองค์เถิด” นั้น พระเจ้าตรัสตอบว่า “เราจะให้คุณความดีทั้งสิ้นของเราประจักษ์แจ้งต่อหน้าเจ้า” อพยพ 33:18, 19 นี่คือพระสิริของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านโมเสสไป และพระองค์ทรงประกาศว่า “พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์ เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน ผู้ประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป” อพยพ 34:6, 7 พระองค์ทรง “กริ้วช้าและบริบูรณ์ด้วยความรักมั่งคง” “เพราะว่าพระองค์ท่านพอพระทัยในความรักมั่นคง” โยนาห์ 4:2; มีคาห์ 7:18 {SC 10.2} ThSC 7.1

พระเจ้าผูกมัดจิตใจของเราไว้กับพระองค์ด้วยของประทานมากมายทั้งจากสวรรค์และโลกนี้ พระองค์ทรงใช้สิ่งต่างๆ ในธรรมชาติและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและลึกซึ้งที่สุดที่มีในโลกเท่าที่จิตใจของมนุษย์จะรู้จัก เพื่อสำแดงพระองค์เองให้แก่เรา แต่สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นความรักของพระองค์ได้ไม่บริบูรณ์ ถึงแม้พระเจ้าจะทรงโปรดประทานหลักฐานต่างๆ ทั้งหมดแล้วก็ตาม ศัตรูของความดีได้บดบังความนึกคิดของมนุษย์ จนพวกเขามองดูพระเจ้าด้วยความหวาดกลัว พวกเขามองว่าพระองค์ทรงโหดร้ายและไม่ให้อภัย ซาตานชักนำมนุษย์ให้เข้าใจว่า พระลักษณะสำคัญที่สุดของพระเจ้าคือ พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาที่เข้มงวด ผู้ตัดสินโหดเหี้ยม เจ้าหนี้เกรี้ยวกราดและแข็งกร้าว มันวาดภาพพระผู้สร้างให้เป็นผู้ที่จ้องมองมนุษย์ด้วยดวงตาที่ริษยาเพื่อคอยจับผิดและหาข้อผิดพลาดและนำมนุษย์มาลงโทษ เพื่อขจัดเงามืดนี้และแสดงให้เห็นถึงความรักอันไร้ขอบเขตของพระเจ้า พระเยซูจึงเสด็จมาดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์ {SC 10.3} ThSC 7.2

พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาจากสวรรค์เพื่อเปิดเผยพระบิดาให้ประจักษ์ “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย แต่พระบุตรองค์เดียวผู้สถิตในพระทรวงของพระบิดา ทรงสำแดงพระเจ้าแล้ว” ยอห์น 1:18 “ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้” มัทธิว 11:27 เมื่อสาวกคนหนึ่งทูลขอว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์เห็น” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราอยู่กับท่านนานถึงขนาดนี้แล้วท่านยังไม่รู้จักเราอีกหรือ คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา ท่านจะพูดได้อย่างไรอีกว่า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น” ยอห์น 14:8, 9 {SC 11.1} ThSC 7.3

พระเยซูตรัสถึงพระราชกิจของพระองค์ในโลกว่า พระเจ้า “ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ” ลูกา 4:18 นี่เป็นพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงดำเนินไปทุกหนทุกแห่งเพื่อทำการดีและรักษาผู้ที่ถูกซาตานครอบงำไว้ให้หาย หมู่บ้านหลายแห่งไม่มีบ้านใดที่มีเสียงร้องคร่ำครวญของความเจ็บป่วยเลย เพราะพระองค์เสด็จดำเนินเข้าไปและทรงรักษาคนป่วยในบ้านเรือนเหล่านั้น พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงเจิมพระองค์ พระราชกิจทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของพระองค์ ได้แสดงให้เห็นถึงความรัก ความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจ พระทัยของพระองค์ทรงเมตตาสงสารเหล่าบุตรของมนุษย์ พระองค์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อพระองค์จะทรงเข้าถึงความต้องการของมนุษย์ได้ ผู้ที่ยากจนและต่ำต้อยที่สุดไม่กลัวที่จะเข้ามาหาพระองค์ แม้เด็กเล็กๆ ก็ยังหลงใหลในพระองค์ พวกเขาชอบที่จะขึ้นนั่งบนตักของพระองค์และจ้องมองดูพระพักตร์ที่เศร้าหมองแต่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก {SC 11.2} ThSC 8.1

พระเยซูไม่ทรงปิดบังความจริงแม้เพียงคำเดียว แต่พระองค์ตรัสความจริงเหล่านั้นด้วยความรักเสมอ เมื่อพระองค์ทรงติดต่อกับคนทั้งหลาย พระองค์ทรงใช้ไหวพริบและความรอบคอบและความสนพระทัยที่เปี่ยมด้วยความเมตตา พระองค์ไม่เคยหยาบคาย ไม่เคยตรัสคำพูดที่รุนแรงโดยไม่จำเป็น ไม่เคยทำให้จิตวิญญาณที่อ่อนไหวต้องได้รับความเจ็บปวดโดยไม่จำเป็น พระองค์ไม่ได้ตำหนิความอ่อนแอของมนุษย์ พระองค์ตรัสอย่างตรงไปตรงมา แต่ตรัสด้วยความรักเสมอ พระองค์ทรงประณามความหน้าซื่อใจคด ความไม่เชื่อ และความชั่ว แต่ขณะเมื่อพระองค์ทรงตำหนิด้วยคำพูดที่เสียดแทงนั้น พระสุรเสียงของพระองค์กลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า พระองค์ทรงกันแสงให้แก่กรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นเมืองที่พระองค์ทรงรัก เป็นเมืองที่ปฏิเสธไม่ยอมรับพระองค์ผู้ทรงเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต พวกเขาปฏิเสธพระองค์ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่พระองค์ยังทรงมองดูพวกเขาด้วยความอ่อนโยนสงสาร พระองค์ทรงมีชีวิตที่ละทิ้งตนเองและเอาใจใส่ผู้อื่น จิตวิญญาณทุกดวงมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์ ถึงแม้ว่าพระองค์เองเคยทรงดำรงไว้ซึ่งฐานันดรศักดิ์ของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงก้มลงมายังสมาชิกทุกคนในครอบครัวของพระเจ้าด้วยความสนพระทัยอย่างที่สุด พระองค์ทรงมองดูมนุษย์ทุกคนและทรงมองเห็นจิตวิญญาณที่ล้มลงในบาป ซึ่งเป็นพันธกิจที่พระองค์ทรงต้องการช่วยจิตวิญญาณเหล่านี้ให้รอด {SC 12.1} ThSC 8.2

นี่เป็นพระลักษณะของพระคริสต์ตามที่ปรากฏให้เห็นในชีวิตของพระองค์ พระเจ้าทรงมีพระลักษณะเช่นเดียวกันนี้ พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ไหลบ่ามาจากพระทัยของพระบิดา ได้ปรากฏให้เห็นในพระคริสต์ และได้ไหลบ่าไปยังบรรดาบุตรทั้งหลายของมนุษย์ พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงเปี่ยมด้วยความเมตตาและความสงสาร ทรงเป็นพระเจ้าเสด็จมา “ปรากฏเป็นมนุษย์” 1 ทิโมธี 3:16 {SC 12.2} ThSC 9.1

พระเยซูเสด็จมาในโลกและทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอด พระองค์เสด็จมา “เป็นคนที่รับความเจ็บปวด” อิสยาห์ 53:3 เพื่อเราจะได้รับความสุขนิรันดร พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระบุตรที่พระองค์ทรงรัก พระบุตรผู้ทรงกอปรด้วยพระคุณและความจริง เสด็จลงมาจากโลกที่มีรัศมีอันสุดจะบรรยายได้ มายังโลกที่เปรอะเปื้อนและถูกทำลายด้วยบาป โลกที่มืดมนด้วยเงามืดแห่งความตายและคำสาปแช่ง พระเจ้าทรงอนุญาตให้พระองค์ออกมาจากอ้อมกอดที่เต็มไปด้วยความรักของพระองค์ ออกมาจากทูตสวรรค์ที่เทิดทูนพระองค์ เพื่อมารับความอับอาย การเหยียดหยาม ความอัปยศอดสู ความเกลียดชัง และความตาย “การตีสอนที่ตกบนท่านนั้นทำให้พวกเรามีสวัสดิภาพและที่ท่านถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา” อิสยาห์ 53:5 จงมองดูพระองค์ขณะที่พระองค์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ในสวนเกทเสมนี และบนกางเขน พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงปราศจากด่างพร้อย ต้องทนรับภาระบาปมาใส่พระองค์เอง พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งร่วมกับพระเจ้า ภายในวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงรู้สึกถึงความน่าสะพรึงกลัวที่บาปได้แยกพระเจ้าออกไปจากมนุษย์ จนทำให้พระองค์ต้องร้องขึ้นมาด้วยความปวดร้าวว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย” มัทธิว 27:46 เป็นเพราะภาระหนักของบาป ความรู้สึกถึงความเลวร้ายน่ากลัวของมัน ที่แยกจิตวิญญาณของพระองค์ออกไปจากพระเจ้า ทำให้พระหทัยของพระบุตรพระเจ้าแตกสลายไป {SC 13.1} ThSC 9.2

แต่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อทำให้พระทัยของพระบิดาเกิดความรักในตัวมนุษย์ ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อให้พระองค์ทรงพอพระทัยเพื่อช่วยมนุษย์ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” ยอห์น 3:16 พระบิดาทรงรักเรา ไม่ใช่เพราะการลบล้างพระอาชญาที่ยิ่งใหญ่โดยพระโลหิตของของพระเยซู แต่พระองค์ทรงจัดเตรียมการลบล้างพระอาชญาโดยพระโลหิตของพระเยซูเพราะพระองค์ทรงรักเรา พระคริสต์ทรงเป็นสื่อกลางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อให้ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัดของพระองค์ให้หลั่งลงมายังโลกที่พ่ายแพ้แก่บาปได้ “พระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์” 2 โครินธ์ 5:19 พระเจ้าทรงร่วมทุกข์กับพระบุตรของพระองค์ในความปวดร้าวทรมานที่สวนเกทเสมนี ในความมรณาบนเนินเขากลโกธา พระทัยแห่งความรักอันไร้ขอบเขตจำกัดของพระเจ้าได้ชำระราคาค่าไถ่บาปของเราแล้ว {SC 13.2} ThSC 10.1

พระเยซูตรัสว่า “เพราะเหตุนี้พระบิดาจึงทรงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเราเพื่อจะรับชีวิตนั้นคืนมาอีก” ยอห์น 10:17 หมายความว่า “พระบิดาของเราทรงรักท่านทั้งหลายมาก และพระองค์ทรงรักเรามากยิ่งขึ้นเมื่อเรายอมถวายชีวิตของเราเพื่อไถ่ท่านทั้งหลาย เราเป็นตัวแทนของท่านทั้งหลายและเป็นผู้ประกันท่านทั้งหลาย เรายอมสละชีวิต รับภาระหนี้และการล่วงละเมิดของท่านทั้งหลาย พระบิดาจึงชื่นชอบเรามาก เพราะโดยการเสียสละของเรา จึงเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงความเที่ยงธรรม ไม่เพียงแต่เท่านั้น ยังพิสูจน์ให้เห็นว่า ผู้ที่เชื่อในพระเยซูจะได้เป็นผู้ชอบธรรมเช่นกัน” {SC 14.1} ThSC 10.2

ไม่มีผู้ใดนอกจากพระบุตรของพระเจ้าที่จะทำการไถ่เราได้สำเร็จ เพราะผู้ที่สถิตอยู่ในพระบิดาเท่านั้นที่จะประกาศเรื่องของพระองค์ได้ มีเพียงผู้ที่เข้าใจความสูงและความลึกที่มีอยู่ในความรักของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะเปิดเผยความรักนั้นให้เห็นแจ้งได้ ไม่มีวิธีอื่นนอกจากการเสียสละที่เหลือคณานับของพระคริสต์ที่ทรงทำเพื่อมนุษย์ที่พลาดพลั้งในบาปจะกล่าวถึงความรักของพระบิดาที่มีต่อมวลมนุษย์ที่หลงหายได้ {SC 14.2} ThSC 11.1

“พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” ยอห์น 3:16 พระเจ้าไม่เพียงแต่ประทานพระเยซูให้มาทรงพระชนม์อยู่ท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น แต่เสด็จมาเพื่อแบกรับบาปของเขาและสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาของพวกเขาด้วย พระเจ้าประทานพระคริสต์ให้แก่เผ่าพันธุ์ที่พลั้งพลาดไปในบาป พระองค์จึงนำตัวพระองค์เองให้เข้ามามีส่วนร่วมกับผลประโยชน์และความต้องการของมนุษยชาติ พระองค์ผู้ทรงเป็นหนึ่งเดียวร่วมกับพระเจ้าได้ทรงเชื่อมสัมพันธ์กับบุตรทั้งหลายของมนุษย์ด้วยสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันขาด “พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง” ฮีบรู 2:11 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของเรา ทรงเป็นผู้แก้ต่างของเรา ทรงเป็นพี่ชายของเรา พระองค์ผู้ทรงอยู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระบิดาทรงมีสภาพมนุษย์เหมือนกันกับเรา และพระองค์ผู้ทรงเป็นบุตรมนุษย์ จะทรงอยู่ร่วมกับเผ่าพันธุ์ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ให้รอดตลอดชั่วนิรันดร์ และทั้งหมดนี้ก็เพื่อยกระดับมนุษย์ขึ้นมาจากการพินาศและความเสื่อมสลายของบาป เพื่อให้มนุษย์ได้สะท้อนความรักของพระเจ้าและมีส่วนร่วมในความสุขของความบริสุทธิ์ {SC 14.3} ThSC 11.2

ค่าไถ่ที่จ่ายไปเพื่อไถ่เราให้รอด ซึ่งเป็นการเสียสละที่เหลือคณานับของพระบิดาบนสวรรค์ที่ประทานพระบุตรของพระองค์ให้มาสิ้นพระชนม์แทนเรานั้น ควรทำให้เรามีแนวคิดที่สูงส่งว่า โดยทางพระคริสต์เราจะเป็นคนเช่นไร ขณะที่อัครทูตยอห์นผู้ได้รับการดลใจได้มองเห็นความสูง ความลึกและความกว้างของความรักของพระบิดาที่มีต่อเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะพินาศนั้น ท่านเปี่ยมล้นด้วยการเทิดทูนและความเคารพ ท่านไม่สามารถหาคำพูดที่เหมาะสมเพื่อบรรยายถึงความยิ่งใหญ่และความนุ่มนวลของความรักนี้ได้ ท่านจึงเชิญชวนให้โลกมาดูว่า “ลองคิดดู พระบิดาได้ประทานความรักแก่เราเพียงไรที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า” 1 ยอห์น 3:1 สิ่งที่มนุษย์เราได้รับนั้น ช่างมีคุณค่าสูงอะไรเช่นนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้กระทำผิด พวกเขาจึงตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน โดยทางความเชื่อในการเสียสละของพระคริสต์ที่ประทานพระองค์เองมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป เหล่าบุตรของอาดัมจะได้กลายมาเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อพระคริสต์ทรงรับธรรมชาติของมนุษย์มาไว้กับตัวพระองค์เอง พระองค์ได้ทรงยกระดับมนุษยชาติขึ้น โดยการสัมพันธ์กับพระคริสต์ มนุษย์ที่ล้มลงในบาปจึงจะคู่ควรกับการได้ชื่อว่าเป็น “บุตรของพระเจ้า” อย่างแท้จริง {SC 15.1} ThSC 12.1

ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบกับความรักเช่นนี้ได้ เราได้เป็นบุตรของพระราชาแห่งสรวงสวรรค์ นี่เป็นพระสัญญาที่ประเสริฐยิ่ง เป็นหัวข้อที่ลึกซึ้งที่สุดที่เราจะใช้ในการใคร่ครวญ ความรักที่ไม่มีรักใดเปรียบได้ของพระเจ้าที่ให้กับโลกที่ไม่รักพระองค์ ความคิดเช่นนี้มีอำนาจควบคุมจิตวิญญาณและนำความคิดให้มาอยู่ภายใต้น้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อเรายิ่งศึกษาพระลักษณะของพระเจ้าภายใต้ความสว่างของกางเขนมากขึ้นเพียงไร เราก็จะยิ่งมองเห็นพระเมตตาคุณ ความอ่อนโยนและการให้อภัยที่ประสานกันด้วยความมีเหตุผลและยุติธรรมได้มากขึ้นเท่านั้น และเราก็จะมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้นถึงหลักฐานมากมายของความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด และความเมตตาสงสาร ที่มีมากกว่าเสียงร้องน่าสงสารของแม่ที่ตามหาลูกที่หลงหายไป {SC 15.2} ThSC 12.2