เคล็ดลับแห่งความสุข

5/14

4. การสารภาพบาป

“ผู้ซ่อนการละเมิดของตนไว้จะไม่จำเริญ แต่ผู้สารภาพและทิ้งมันจะได้ความกรุณา” สุภาษิต 28:13 {SC 37.1} ThSC 33.1

เงื่อนไขที่จะรับพระเมตตาคุณของพระเจ้านั้นง่ายและยุติธรรมและสมเหตุสมผล พระเจ้าไม่บังคับให้เราต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อจะได้การอภัยจากบาป พระองค์ไม่ได้บังคับให้เราเดินทางไปแสวงบุญที่ยืดเยื้อและเหน็ดเหนื่อยหรือแก้บาปด้วยการทรมานร่างกายให้เจ็บปวด เพื่อให้พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ยอมรับจิตวิญญาณของเราหรือลบล้างบาปการล่วงละเมิดของเรา แต่ผู้ที่สารภาพและละทิ้งบาปจะได้รับพระเมตตาคุณ {SC 37.2} ThSC 33.2

อัครทูตกล่าวว่า “จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเผื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รับการรักษาโรค” ยากอบ 5:16 จงสารภาพบาปของท่านกับพระเจ้า พระองค์เท่านั้นที่จะทรงให้อภัยบาปได้และจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน หากท่านทำผิดต่อมิตรสหายหรือเพื่อนบ้านของท่าน ท่านจะต้องยอมรับผิด และเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะอภัยให้ท่านด้วยความเต็มใจ แล้วท่านจะต้องทูลขอพระเจ้าทรงอภัยให้ท่านด้วย เพราะพี่น้องที่ท่านได้ทำผิดต่อเขานั้นเป็นสมบัติของพระเจ้า และเมื่อท่านทำร้ายเขา ท่านก็ได้ทำบาปต่อพระผู้สร้างและพระผู้ไถ่ของเขาด้วย และคดีความนี้จะถูกนำขึ้นไปยังเบื้องพระพักตร์ของพระผู้ไกล่เกลี่ยแท้จริงพระองค์เดียว พระองค์ผู้ทรงเป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา “ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” และพระองค์ทรง “เห็นใจในความอ่อนแอของเรา” และทรงชำระเราจากความเปรอะเปื้อนของความชั่วทุกประการ ฮีบรู 4:15 {SC 37.3} ThSC 33.3

ผู้ที่ไม่ได้ถ่อมจิตใจลงเพื่อยอมรับความผิดของเขาต่อพระเจ้าก็ยังไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อแรกเพื่อให้พระเจ้าทรงยอมรับ หากเรายังไม่เคยมีประสบการณ์ของการกลับใจ ไม่เคยรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ได้ทำไปและไม่ได้ถ่อมจิตใจลงอย่างแท้จริงและวิญญาณจิตไม่รู้สึกชอกช้ำที่ต้องสารภาพบาปและรู้สึกเกลียดชังความชั่วของตัวเองแล้ว เราก็ยังไม่เคยทูลขอการอภัยบาปอย่างแท้จริง และหากเรายังไม่เคยทูลขอ เราก็จะยังไม่เคยพบกับสันติสุขในพระเจ้า มีเหตุผลเดียวที่ทำให้บาปผิดในอดีตที่ผ่านมาไม่ได้รับการอภัยคือ เราไม่เต็มใจที่จะถ่อมจิตใจของเราลงและทำตามเงื่อนไขที่จารึกไว้ในพระวจนะแห่งความจริง สำหรับเรื่องนี้ได้ประทานคำแนะนำไว้อย่างชัดเจน การสารภาพบาปไม่ว่าจะทำในที่สาธารณะหรือเป็นการส่วนตัวจะต้องทำด้วยความจริงใจและด้วยความสมัครใจ คนบาปจะต้องไม่ถูกบีบบังคับให้สารภาพบาป การสารภาพบาปจะต้องไม่ทำอย่างเล่นๆ หรืออย่างไม่ใส่ใจ หรือเป็นการบังคับผู้ที่ไม่รู้สึกสำนึกถึงความน่ารังเกียจของบาป การสารภาพบาปที่ทำด้วยการเปิดส่วนลึกที่สุดของจิตใจออก จะพบหนทางที่นำไปถึงพระเจ้า ผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาที่ไม่มีขอบเขต ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “พระยาห์เวห์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลายและทรงช่วยผู้สิ้นหวัง” สดุดี 34:18 {SC 37.4} ThSC 34.1

การสารภาพบาปที่จริงใจจะต้องมีลักษณะเฉพาะเจาะจงและยอมรับบาปที่ได้ทำไปแล้วโดยเฉพาะ อาจจะเป็นบาปที่เราต้องสารภาพต่อเบื้องพระเจ้าเท่านั้นหรือเป็นบาปที่เราต้องสารภาพกับบุคคลที่ต้องตกทุกข์อันเนื่องมาจากความผิดที่เราได้ทำไป หรือเป็นบาปที่ทำต่อส่วนรวมซึ่งต้องสารภาพอย่างเปิดเผย แต่การสารภาพบาปทั้งปวงนั้นจะต้องชัดเจนและเจาะจง ยอมรับบาปที่ท่านได้ทำไป {SC 38.1} ThSC 35.1

ในสมัยของซามูเอล ชนชาติอิสราเอลเดินหลงออกไปจากทางของพระเจ้า พวกเขาต้องตกอยู่ในความทุกข์ยากอันเนื่องจากผลของบาป เพราะพวกเขาได้ละทิ้งความเชื่อในพระเจ้า มองไม่เห็นอำนาจและพระปัญญาของพระองค์ที่ปกครองประเทศ สูญเสียความเชื่อมั่นในอำนาจของพระเจ้าที่พิทักษ์และรักษาผลประโยชน์ของพระองค์ พวกเขาหันออกไปจากพระเจ้ายิ่งใหญ่ผู้ทรงปกครองจักรวาลและปรารถนาการปกครองแบบเดียวกันกับประเทศที่อยู่รอบข้าง ก่อนที่พวกเขาจะพบกับสันติสุขได้อีกครั้งหนึ่งนั้น พวกเขาได้สารภาพบาปอย่างตรงๆ ว่า “เพราะเราได้เพิ่มความชั่วร้ายนี้เข้ากับบาปทั้งสิ้นของพวกเรา คือขอให้มีกษัตริย์สำหรับพวกเรา” 1 ซามูเอล 12:19 พวกเขาต้องสารภาพบาปที่ได้ทำไปแล้ว ความอกตัญญูของพวกเขาบีบบังคับจิตวิญญาณและได้ตัดพวกเขาออกไปจากพระเจ้า {SC 38.2} ThSC 35.2

พระเจ้าจะไม่ยอมรับการสารภาพบาปที่ปราศจากการกลับใจและการปฏิรูปด้วยความจริงใจ พวกเขาจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแน่วแน่ จะต้องขจัดสิ่งที่พระเจ้ารังเกียจทิ้งไปให้หมด เป็นผลงานที่เกิดจากการเสียใจต่อบาปอย่างสุดซึ้ง ส่วนที่เราจะต้องทำนั้นได้จัดวางไว้อยู่เบื้องหน้าเราอย่างชัดเจนว่า .”จงชำระตัว และทำตัวเจ้าให้สะอาด จงเอาความชั่วของเจ้าไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำชั่ว จงฝึกทำดี จงเสาะหาความเป็นธรรม จงแก้ไขการบีบบังคับ จงแก้ต่างให้ลูกกำพร้าพ่อ จงสู้ความเพื่อหญิงม่าย” อิสยาห์ 1:16, 17 “ถ้าคนอธรรมยอมคืนของประกัน และชดใช้สิ่งที่เขาขโมยไป และดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ทั้งไม่ทำบาปเลย เขาก็จะมีชีวิตอยู่แน่ และเขาจะไม่ต้องตาย” เอเสเคียล 33:15 เปาโลกล่าวถึงการกลับใจว่า “จงดูสิว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ นำไปสู่การเอาจริงเอาจังเพียงไร และยังทำให้เกิดการขวนขวายที่จะพิสูจน์ตัวเอง เกิดความขุ่นเคือง ความตื่นตัว ความอาลัย ความกระตือรือร้น และเกิดการลงโทษ พวกท่านพิสูจน์ตัวเองในทุกด้านแล้วว่าเป็นผู้ปราศจากความผิดในเรื่องนี้” 2 โครินธ์ 7:11 {SC 39.1} ThSC 35.3

เมื่อบาปทำให้การรับรู้ทางศีลธรรมตายด้านไป ผู้ที่ทำผิดมองไม่เห็นความบกพร่องในอุปนิสัยของตนเอง หรือตระหนักถึงความร้ายกาจของความชั่วที่เขาได้ทำ และถ้าเขาไม่ยอมรับอำนาจการตักเตือนของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ตาของเขาก็จะยังคงมืดมนต่อบาปที่เขาได้ทำ เขาจะไม่จริงใจและไม่จริงจังต่อการสารภาพของเขา สำหรับความผิดทุกเรื่องที่เขารู้ เขาจะมีข้ออ้างเพื่อแก้ตัวให้กับสิ่งที่เขาทำ โดยกล่าวว่า หากไม่ใช่เป็นเพราะสถานการณ์บังคับแล้ว เขาก็คงจะไม่ทำสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้ที่ทำให้ตัวเขาต้องถูกตำหนิ {SC 40.1} ThSC 36.1

หลังจากอาดัมและเอวาได้รับประทานผลไม้ต้องห้ามแล้ว พวกเขาอับอายและหวาดกลัวอย่างเต็มที่ ในช่วงแรก พวกเขาได้แต่คิดว่าจะแก้ตัวให้กับการกระทำบาปอย่างไรและหนีให้พ้นความตายซึ่งเป็นคำตัดสินที่น่ากลัวได้อย่างไร เมื่อพระเจ้าตรัสถามถึงบาปของเขา อาดัมตอบด้วยการโยนความผิดส่วนหนึ่งให้พระเจ้าและอีกส่วนหนึ่งให้แก่คู่ชีวิตของเขาเอง “หญิงที่พระองค์ประทานให้อยู่กับข้าพระองค์ เธอส่งผลจากต้นไม้นั้นให้ข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงรับประทาน” ส่วนหญิงนั้นโยนความผิดใส่งูด้วยการพูดว่า “งูล่อลวงข้าพระองค์ ข้าพระองค์จึงได้รับประทาน” ปฐมกาล 3:12, 13 ทำไมพระองค์จึงทรงสร้างงู ทำไมพระองค์จึงทรงปล่อยให้มันเข้ามาในสวนเอเดน นี่คือความหมายของคำตอบที่เธอใช้แก้ตัวให้กับบาปของเธอ ด้วยประการฉะนี้ พวกเขาจึงโยนความรับผิดชอบต่อการล้มลงในบาปให้พระเจ้า วิญญาณแห่งการชอบแก้ตัวที่กำเนิดมาจากบิดาแห่งการพูดมุสาจึงปรากฏอยู่ในบุตรชายบุตรหญิงทั้งปวงของอาดัม การสารภาพบาปในรูปแบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าและพระองค์จะไม่ทรงยอมรับ การกลับใจที่แท้จริงจะนำบุคคลนั้นให้ยอมรับความผิดว่าเป็นของตนเองและยอมรับโดยไม่มีการแอบแฝงหรือเสแสร้ง เขาจะเป็นเหมือนคนเก็บภาษีผู้น่าสงสารซึ่งไม่กล้าแม้จะแหงนหน้าดูฟ้า แต่ได้ร้องว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” ลูกา 18:13 และผู้ที่ยอมรับความผิดของตนเองจะได้รับการแก้ไขให้เป็นผู้ชอบธรรม เพราะว่าพระเยซูจะทรงทูลขอแทนจิตวิญญาณที่ได้กลับใจด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง {SC 40.2} ThSC 36.2

แบบอย่างของการกลับใจด้วยความจริงใจและถ่อมใจดังที่มีจารึกไว้ในพระวจนะของพระเจ้านั้น เปิดเผยให้เห็นการสารภาพบาปโดยไม่มีการแก้ตัวหรือพยายามทำให้ตนเองไม่มีความผิด เปาโลไม่ได้คอยหาทางที่จะปกปิดตัวเอง ท่านป้ายสีบาปของท่านด้วยสีเข้มที่สุดซึ่งไม่ทำให้ความผิดของท่านเบาบางลง ท่านกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าพระบาททำในกรุงเยรูซาเล็ม หลังจากได้รับสิทธิอำนาจจากพวกหัวหน้าปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทจับธรรมิกชนจำนวนมากขังคุก และเมื่อพวกเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย ข้าพระบาททำโทษเขาบ่อยๆ ในธรรมศาลาทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาทพระเจ้า และเนื่องจากข้าพระบาทโกรธพวกเขาอย่างยิ่ง ถึงขนาดข้าพระบาทตามไปข่มเหงเขาถึงหัวเมืองต่างๆ ในต่างประเทศ” กิจการ 26: 10-11 ท่านไม่รีรอที่จะประกาศว่า “พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้” 1 ทิโมธี 1:15 {SC 41.1} ThSC 37.1

ผู้ที่กลับใจอย่างแท้จริงและมีจิตใจที่ถ่อมและชอกช้ำจะซาบซึ้งกับความรักของพระเจ้าและราคาที่พระองค์ต้องทรงชำระที่กางเขนบนเนินเขากลโกธาและดั่งเช่นบุตรที่เข้ามาสารภาพความผิดกับบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก ผู้ที่สำนึกผิดอย่างจริงจังและนำบาปทั้งสิ้นของเขาเข้ามายังพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนั้น ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” 1 ยอห์น 1:9 {SC 41.2} ThSC 37.2