สงครามครั้งยิ่งใหญ่

40/45

บท 37 - พระคัมภีร์เป็นโล่ป้องกัน

“ไปดูธรรมบัญญัติและถ้อยคำพยาน แน่ทีเดียวคนที่ไม่พูดเช่นข้าพเจ้า ก็จะเป็นคนที่ไม่มีรุ่งอรุณเลย” อิสยาห์ 8:20 ประชากรของพระเจ้าได้รับการชี้แนะให้ไปใช้พระคัมภีร์เป็นเครื่องป้องกันตนเองจากอิทธิพลของครูสอนเทียมเท็จและอำนาจหลอกลวงของวิญญาณแห่งความมืด ซาตานใช้กลอุบายทุกรูปแบบขัดขวางมนุษย์เพื่อไม่ให้รับความรู้ของพระคัมภีร์ เพราะเรื่องราวเรียบง่ายในพระคัมภีร์นั้นกล่าวเปิดโปงกลลวงของมัน ทุกครั้งที่มีการฟื้นฟูงานของพระเจ้า จะกระตุ้นให้เจ้าชายแห่งความชั่วทำงานของมันอย่างหนักหน่วงยิ่งขึ้น บัดนี้ มันกำลังทำการอย่างเต็มที่เป็นครั้งสุดท้ายเพื่อดิ้นรนต่อสู้กับพระคริสต์และผู้ติดตามของพระองค์ การหลอกลวงยิ่งใหญ่ครั้งสุดท้ายกำลังจะเปิดฉากขึ้น พระคริสต์เทียมเท็จจะทำการอัศจรรย์ต่อหน้าต่อต่อตาของพวกเรา การปลอมแปลงจะคล้ายคลึงกับของจริงจนไม่มีมทางแยกแยะออกได้นอกจากจะใช้พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ด้วยคำพยานของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ทุกประโยค และทุกการอัศจรรย์จะต้องถูกตรวจสอบ {GC 593.1} GCth17 517.1

ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติตามพระบัญญัติทุกๆ ข้อของพระเจ้าจะถูกต่อต้านและถูกเยาะเย้ย พวกเขาจะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยพระเจ้าเท่านั้น เพื่อที่จะทนต่อการทดลองที่อยู่เบื้องหน้าได้นั้น พวกเขาจะต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าที่เปิดเผยไว้ในพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจะถวายเกียรติพระองค์ได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องถึงพระลักษณะ การปกครองและพระประสงค์ของพระองค์และยอมปฏิบัติตาม ไม่มีผู้ใดจะยืนหยัดจนผ่านพ้นความขัดแย้งสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่ไปได้นอกจากผู้ที่เสริมสมองของตนเองด้วยสัจธรรมต่างๆ ในพระคัมภีร์เท่านั้น การทดสอบอย่างละเอียดจะมาถึงจิตวิญญาณทุกดวงว่าข้าพเจ้าจะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์หรือไม่ บัดนี้เป็นเวลาแห่งการตัดสินใจแล้ว เท้าของเราวางอยู่บนศิลาแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงแล้วหรือยัง เราพร้อมที่จะยืนขึ้นเพื่อปกป้องพระบัญญัติของพระเจ้าและความเชื่อของพระเยซูหรือไม่ {GC 593.2} GCth17 517.2

ก่อนที่พระผู้ช่วยให้รอดจะถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงอธิบายให้สาวกทราบว่าพระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์และกลับเป็นขึ้นมาจากหลุมฝังศพ และทูตสวรรค์ก็อยู่ที่นั่นเพื่อประทับพระดำรัสของพระองค์ลงไปในความทรงจำและจิตใจของสาวก แต่สาวกทั้งหลายกำลังมองหาการช่วยกู้ฝ่ายเนื้อหนังจากแอกของชาวโรมันและพวกเขาทนไม่ได้กับความคิดที่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นความหวังของพวกเขาจะต้องทนกับความตายอันน่าอับอายเช่นนี้ พระดำรัสต่างๆ ที่พวกเขาต้องจดจำนั้นจึงอันตรธานหายไปจากความคิดและเมื่อเวลาแห่งการทดลองมาถึง พวกเขาจึงไม่พร้อม ความตายของพระเยซูทำลายความหวังของพวกเขาไปโดยสิ้นเชิงเสมือนหนึ่งว่าพระองค์ไม่ได้ทรงเตือนพวกเขาไว้ก่อน คำพยากรณ์เกี่ยวกับอนาคตที่เปิดเผยให้พวกเราทราบนั้นชัดเจนเช่นเดียวกับพระดำรัสของพระคริสต์ที่เปิดเผยให้สาวกทราบ เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับการสิ้นสุดของเวลาแห่งพระกรุณาธิคุณและงานของการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับเวลาแห่งความทุกข์ยากได้ถูกเปิดเผยไว้อย่างชัดเจน แต่คนมากมายไม่เข้าใจสัจธรรมที่สำคัญเหล่านี้ราวกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกเปิดเผยมาก่อน ซาตานเฝ้าคอยที่จะขจัดทุกความนึกคิดที่จะทำให้พวกเขาฉลาดจนถึงขั้นได้รับความรอด และเมื่อเวลาแห่งความทุกข์ยากมาถึง ก็จะพบว่าพวกเขาไม่พร้อม {GC 594.1} GCth17 517.3

เมื่อพระเจ้าประทานคำเตือนที่สำคัญมากให้มนุษย์โดยใช้ทูตสวรรค์บริสุทธิ์บินประกาศอยู่บนท้องฟ้าเป็นสัญลักษณ์ พระองค์ทรงกำหนดให้ทุกคนที่มีความสามารถในการใช้เหตุผลให้รับฟังข่าวสารนี้ ข่าวการพิพากษาอันน่ากลัวซึ่งกล่าวโทษการกราบไหว้บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน (วิวรณ์ 14:9-11) ควรจะทำให้ทุกคนขยันศึกษาคำพยากรณ์ทั้งหลายเพื่อเรียนรู้ว่ารูปของสัตว์ร้ายคืออะไรและเราจะหลีกหนีจากการรับรูปของมันได้อย่างไร แต่คนส่วนใหญ่ปิดหูไม่รับฟังสัจธรรมและเปิดหูเข้าหานิทาน เมื่ออัครทูตเปาโลมองไปยังยุคสุดท้าย ท่านเปิดเผยว่า “เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้” 2 ทิโมธี 4:3 เวลาที่กล่าวไว้ในข้อนี้มาถึงแล้ว คนจำนวนมากไม่ต้องการสัจธรรมในพระคัมภีร์เพราะสัจธรรมในพระคัมภีร์รบกวนความปรารถนาของหัวใจที่บาปหนาและฝักใฝ่ทางโลก และซาตานก็สนองตอบด้วยการหลอกลวงต่างๆ ตามที่พวกเขาชื่นชอบ {GC 594.2} GCth17 517.4

แต่พระเจ้าจะทรงมีประชากรของพระองค์ในโลกที่คอยค้ำจุนรักษาพระคัมภีร์ไว้ และใช้แต่เพียงพระคัมภีร์เท่านั้นเป็นมาตรฐานของหลักคำสอนและเป็นพื้นฐานของการปฏิรูปทั้งปวง ความคิดเห็นต่างๆ ของผู้คงแก่เรียน ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ คำสอนทางศาสนาหรือคำตัดสินของสภาฝ่ายศาสนาซึ่งมีอยู่มากมายและขัดแย้งกันเช่นเดียวกับบรรดาคริสตจักรซึ่งพวกเขาเป็นตัวแทนอยู่ในสภา และเสียงข้างมาก สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือทั้งหมดของสิ่งเหล่านี้ไม่ควรถูกนำมาใช้เป็นหลักฐานเพื่อสนับสนุนหรือคัดค้านจุดใดจุดหนึ่งในความเชื่อทางศาสนา ก่อนที่เราจะยอมรับหลักคำสอนหรือความเห็นใดๆ นั้น เราจะต้องได้รับการสนับสนุนด้วยคำพูดที่ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ดังนั้น” {GC 595.1} GCth17 518.1

ซาตานใช้ความพยายามอยู่ตลอดเวลาเพื่อดึงดูดความสนใจไปที่มนุษย์แทนที่จะไปยังพระเจ้า มันนำผู้คนไปหาบรรดาบิชอป ศาสนาจารย์ทั้งหลายและบรรดาศาสตราจารย์ทางศาสนศาสตร์ เพื่อให้เป็นผู้ชี้ทางของพวกเขาแทนที่จะค้นหาพระคัมภีร์เพื่อเรียนรู้หน้าที่ที่ตนเองจะต้องทำ และแล้วด้วยการควบคุมสมองของบรรดาผู้นำเหล่านี้ มันจึงสามารถแผ่อิทธิพลของมันไปสู่ประชาชนได้ตามที่มันต้องการ {GC 595.2} GCth17 518.2

เมื่อพระคริสต์เสด็จมาเพื่อตรัสพระดำรัสแห่งชีวิต คนมากมายแม้กระทั่งในหมู่ปุโรหิตและผู้ปกครองฟังพระองค์ด้วยความยินดีและเชื่อพระองค์ แต่หัวหน้าปุโรหิตและผู้นำประเทศมุ่งมั่นโจมตีและปฏิเสธคำสอนของพระองค์ ถึงแม้พวกเขาจะงุนงงสับสนในความพยายามทั้งหมดเพื่อกล่าวหาพระองค์และถึงแม้พวกเขาจะไม่ยอมรับคำสอนของพระองค์ก็ตาม พวกเขากลับสัมผัสได้ถึงอิทธิพลอำนาจของพระเจ้าและพระปัญญาที่มากับพระดำรัสเหล่านั้น แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังคงปิดล้อมตัวเองด้วยอคติ พวกเขาปฏิเสธหลักฐานที่ชัดเจนที่สุดถึงการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ เกลือกว่าพวกเขาจะถูกบังคับให้เข้าร่วมเป็นสาวกของพระองค์ คู่ต่อสู้เหล่านี้ของพระเยซูเป็นบุคคลที่ประชาชนได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่วัยเยาว์ให้เคารพยกย่องและให้น้อมรับอำนาจของพวกเขาโดยปริยาย พวกเขาต่างถามกันว่า “เป็นไปได้อย่างไรที่ผู้ปกครองของเราและเหล่าธรรมาจารย์ที่รอบรู้ไม่เชื่อในพระเยซู ทำไมคนที่เคร่งในศาสนาเหล่านี้จะไม่ยอมรับพระองค์ถ้าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์” มันคืออิทธิพลของบรรดาครูเหล่านี้ที่นำประชาชาติยิวให้ปฏิเสธพระผู้ไถ่ของตน {GC 595.3} GCth17 518.3

วิญญาณที่อยู่เบื้องหลังปุโรหิตและผู้ปกครองเหล่านั้นยังคงแสดงออกให้เห็นในผู้คนมากมายที่ดำรงตำแหน่งสูงในฝ่ายศาสนา พวกเขาปฏิเสธที่จะพิจารณาคำสอนของพระคัมภีร์ในเรื่องของสัจธรรมต่างๆ ซึ่งเฉพาะเจาะจงสำหรับยุคนี้ พวกเขาชี้ให้ดูจำนวนสมัครพรรคพวก ทรัพย์สมบัติ และความโด่งดังของตน และมองด้วยสายตาที่ดูแคลนไปยังบรรดาผู้ที่ยกชูสัจธรรมซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่คน อีกทั้งมีฐานะยากจนและไม่เป็นที่รู้จัก ว่าเป็นพวกที่มีความเชื่อที่ทำให้แยกตัวพวกเขาเองออกไปจากโลก {GC 596.1} GCth17 519.1

พระคริสต์ทรงมองไปยังภายภาคหน้าว่าอำนาจที่พวกธรรมาจารย์และฟาริสีใช้นั้นไม่ได้ยุติลงเมื่อชนชาวยิวกระจัดกระจายไป พระองค์ทรงพยากรณ์ให้เห็นถึงงานการยกชูอำนาจมนุษย์เพื่อควบคุมมโนธรรมซึ่งเป็นคำสาปที่เลวร้ายของคริสตจักรมาตลอดทุกยุคทุกสมัย และพระดำรัสอันน่ากลัวที่ตำหนิเหล่าธรรมาจารย์และฟาริสีรวมทั้งคำเตือนของพระองค์ที่ประทานให้แก่คนทั้งปวงว่าไม่ให้ติดตามผู้นำตาบอดเหล่านี้ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อเป็นการว่ากล่าวตักเตือนสำหรับคนทุกยุคในอนาคต {GC 596.2} GCth17 519.2

คริสตจักรโรมันสงวนสิทธิ์ให้เฉพาะคณะสงฆ์เป็นผู้มีอำนาจตีความหมายพระคัมภีร์ โดยใช้หลักการว่าเฉพาะคณะนักบวชเท่านั้นที่มีความสามารถอธิบายพระวจนะของพระเจ้าได้ ประชาชนทั่วไปไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ [โปรดดู APPENDIX NOTE FOR PAGE 340] ถึงแม้การปฏิรูปทางศาสนานำพระคัมภีร์กลับคืนมาให้แก่ประชาชนทุกคนแล้วก็ตาม แต่กระนั้น หลักการอันเดียวกันที่โรมรักษาไว้นั้นยังคงขัดขวางคนจำนวนมากในคริสตจักรโปรเตสแตนต์จากการค้นหาพระคัมภีร์ด้วยตนเอง พวกเขาถูกสอนให้ยอมรับคำสอนตามที่คริสตจักรแปลความหมายไว้ และคนนับพันไม่กล้ารับแม้กระทั่งเรื่องที่พระคัมภีร์เปิดเผยไว้อย่างชัดเจนถ้าเรื่องนั้นตรงข้ามกับหลักข้อเชื่อหรือคำสอนที่ปักหลักไว้อย่างแน่นแฟ้นของคริสตจักรของพวกเขา {GC 596.3} GCth17 519.3

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะเต็มไปด้วยคำเตือนเรื่องครูสอนเทียมเท็จ แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายที่พร้อมมอบจิตวิญญาณของตนไว้กับคณะสงฆ์ ในทุกวันนี้มีคนนับพันที่ประกาศตนว่าเป็นผู้เชื่อแต่ไม่สามารถหาเหตุผลมารองรับความเชื่อที่พวกเขายึดถือได้ นอกจากจะบอกได้เพียงว่า ความเชื่อของเขาได้รับการสอนมาจากผู้นำศาสนา พวกเขามองข้ามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดไปและวางใจในคำพูดของบรรดาอาจารย์ แต่อาจารย์จะไม่มีทางผิดพลาดเลยหรือ เราจะมอบจิตวิญญาณของเราให้พวกเขานำได้อย่างไรนอกเสียจากเราจะเรียนรู้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพวกเขาเป็นผู้ยกชูแสงสว่าง การขาดความกล้าฝ่ายศีลธรรมที่จะก้าวเท้าออกจากเส้นทางเดินที่โลกเคยเหยียบย่ำมาแล้วได้นำคนมากมายไปติดตามย่างเท้าของผู้คงแก่เรียน และด้วยความไม่เต็มใจของพวกเขาที่จะตรวจสอบด้วยตนเอง พวกเขาจึงยึดติดอยู่กับโซ่ตรวนแห่งความเท็จอย่างสิ้นหวัง พวกเขามองเห็นว่าสัจธรรมสำหรับยุคนี้ถูกเปิดเผยไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์และพวกเขาสัมผัสได้ถึงอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงร่วมสถิตอยู่กับการประกาศของพระคัมภีร์ แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังปล่อยให้การต่อต้านของคณะสงฆ์หันเหพวกเขาออกไปจากแสงสว่าง ถึงแม้ความคิดอย่างมีเหตุมีผลและสามัญสำนึกจะถูกโน้มน้าวแล้วก็ตาม จิตวิญญาณที่หลงผิดเหล่านี้ก็ไม่กล้าแม้แต่ที่จะคิดต่างไปจากอาจารย์ การตัดสินใจของพวกเขาแต่ละคนและผลประโยชน์ชั่วนิรันดร์ของพวกเขาถูกนำมาถวายบูชาให้แก่ความไม่เชื่อ ความหยิ่งและอคติของผู้อื่น {GC 596.4} GCth17 519.4

ซาตานทำงานผ่านอิทธิพลมนุษย์ด้วยวิธีการมากมายเพื่อดักจับเหยื่อของมัน มันผูกมัดฝูงชนไว้กับตัวมันเองด้วยการเอาสายสัมพันธ์แห่งความรักไปผูกมัดพวกเขาไว้กับผู้ที่เป็นศัตรูกางเขนของพระคริสต์ ไม่ว่าสายสัมพันธ์นี้จะเป็นอะไรก็ตาม อาทิ สายสัมพันธ์ของการเป็นพ่อแม่ ของลูก ของการเป็นคู่สมรส หรือของสังคม ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมเหมือนกัน คือผู้ต่อต้านสัจธรรมใช้อำนาจของเขาควบคุมสามัญสำนึก และจิตวิญญาณที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอำนาจนี้จะไม่มีความกล้าหาญพอหรือมีอิสระพอที่จะเชื่อฟังความเชื่อมั่นของเขาเองในสิ่งที่เขาต้องทำ {GC 597.1} GCth17 520.1

สัจธรรมและพระสิริของพระเจ้านั้นแยกออกจากกันไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เราถวายเกียรติพระเจ้าด้วยทัศนคติที่ผิดๆ ในเมื่อมีพระคัมภีร์อยู่ใกล้แค่เอื้อม คนมากมายอ้างว่าใครจะเชื่ออะไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญหากชีวิตของเขาดำเนินได้อย่างถูกต้อง แต่ชีวิตจะถูกหล่อหลอมด้วยความเชื่อ หากแสงสว่างและสัจธรรมอยู่ใกล้แค่เอื้อมแต่เราละเลยโอกาสที่จะพัฒนาการฟังและการมองเห็น ก็เท่ากับเราปฏิเสธสัจธรรมและแสงสว่างนั้น เรากำลังเลือกความมืดมากกว่าความสว่าง {GC 597.2} GCth17 520.2

“มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่ปลายทางคือความมรณา” สุภาษิต 16:25 การไม่รู้ไม่อาจนำมาใช้เป็นข้อแก้ตัวให้กับความผิดหรือบาป ในเมื่อเรามีโอกาสมากมายที่จะรู้จักน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อชายคนหนึ่งเดินทางมาจนถึงทางแยกที่มีถนนหลายเส้นและมีป้ายชี้ทางบอกว่าทางแต่ละสายจะนำไปสู่สถานที่แห่งใด หากเขาไม่สนใจป้ายบอกทางและเดินไปตามทางที่เขาคิดว่าถูกต้อง เขาอาจเดินไปด้วยความจริงใจ แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะพบว่าตัวเองเดินอยู่บนเส้นทางที่ผิด {GC 597.3} GCth17 520.3

พระเจ้าประทานพระวจนะของพระองค์เพื่อให้เราคุ้นเคยกับคำสอนของพระองค์และเรียนรู้ด้วยตัวเราเองว่าพระองค์ทรงคาดหวังสิ่งใดจากเรา เมื่อบาเรียนมาหาพระเยซูด้วยคำถามว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์” พระผู้ช่วยให้รอดทรงแนะให้เขาไปหาพระคัมภีร์ ตรัสว่า “ในธรรมบัญญัติเขียนว่าอย่างไร ท่านอ่านแล้วเข้าใจอย่างไร” ลูกา 10:25, 26 การไม่รู้ไม่ใช่ข้อแก้ตัวสำหรับเด็กหรือผู้ใหญ่หรือช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพราะว่าในมือของพวกเขามีธรรมบัญญัตินั้นรวมถึงหลักการต่างๆ และข้อกำหนดทั้งหลายของมันถูกเสนอไว้อย่างซื่อสัตย์ การมีความตั้งใจดีนั้นไม่เพียงพอ การทำตามคำพูดของมนุษย์ที่คิดว่าตนเองถูกต้องหรือที่อาจารย์บอกเขาว่าถูกต้องนั้นก็ไม่เพียงพอ ความรอดของจิตวิญญาณของเขาเป็นเดิมพันอยู่และเขาจะต้องค้นหาพระคัมภีร์ด้วยตัวของเขาเอง ไม่ว่าความตั้งใจของเขาจะหนักแน่นเพียงไร ไม่ว่าเขาจะมั่นใจเพียงไรว่าอาจารย์ทั้งหลายทราบดีว่าอะไรคือสัจธรรม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่รากฐานของเขา เขามีแผนที่แสดงถึงสัญลักษณ์บอกทางทุกอย่างที่นำการเดินทางมุ่งหน้าไปสู่สวรรค์และเขาจะต้องไม่ใช้การคาดเดาใดๆ ทั้งสิ้น {GC 598.1} GCth17 521.1

หน้าที่อันดับแรกและเป็นหน้าที่สูงส่งที่สุดของมนุษย์ทุกคนที่มีความคิดนั้นคือการเรียนรู้จากพระคัมภีร์ว่าสัจธรรมคืออะไร จากนั้นจึงดำเนินไปในแสงสว่างและหนุนใจผู้อื่นให้ทำตามแบบอย่างของเขา เราจะต้องศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความขยันหมั่นเพียรในแต่ละวัน ประเมินทุกความคิดและเปรียบเทียบข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งกับข้อพระคัมภีร์ข้ออื่นๆ ด้วยการช่วยเหลือจากพระเจ้าเราจะต้องสร้างแนวคิดของเราเพื่อตัวเราเองในเมื่อเราเองจะต้องเป็นผู้ให้คำแก้ต่างต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า {GC 598.2} GCth17 521.2

สัจธรรมทั้งหลายที่พระคัมภีร์เปิดเผยไว้อย่างชัดเจนที่สุดถูกคนที่มีการศึกษานำไปพัวพันกับความสงสัยและความมืด พวกเขาแสร้งทำตัวว่ามีปัญญายิ่งใหญ่และสอนว่าพระคัมภีร์มีความหมายทางจิตวิญญาณที่ลึกลับซับซ้อนและเข้าใจอย่างชัดเจนไม่ได้ด้วยภาษาที่ใช้ คนเหล่านี้เป็นครูสอนเทียมเท็จ พระเยซูตรัสถึงคนกลุ่มนี้ว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า” มาระโก 12:24 เราจะต้องอธิบายภาษาของพระคัมภีร์ตามความหมายที่ชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัยยกเว้นว่าพระคัมภีร์ใช้ภาษาสัญลักษณ์หรือใช้อุปมาอุปมัย พระคริสต์ประทานพระสัญญาไว้แล้วว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้า” ยอห์น 7:17 ถ้าหากมนุษย์จะยอมรับพระคัมภีร์ตามตัวหนังสือที่อ่าน ถ้าหากไม่มีครูเทียมเท็จที่จะนำพาพวกเขาไปในทางที่ผิดและทำให้สมองของพวกเขาสับสนแล้ว ภารกิจหนึ่งน่าจะสำเร็จลุล่วงไปแล้วซึ่งเป็นภารกิจที่จะทำให้ทูตสวรรค์ชื่นชมยินดี และจะนำคนนับหมื่นนับพันที่ซึ่งบัดนี้ยังคงดำเนินอยู่ในทางที่ผิดให้เข้ามาสู่คอกแกะของพระคริสต์ {GC 598.3} GCth17 521.3

เราจะต้องใช้พลังทางความคิดทั้งหมดเพื่อศึกษาพระคัมภีร์และจะต้องทำความเข้าใจเพื่อหยั่งรู้ถึงเรื่องอันลึกซึ้งของพระเจ้ามากเท่าที่มนุษย์ที่ต้องตายจะทำความเข้าใจได้ แต่ถึงกระนั้นเราจะต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์จะต้องมีวิญญาณที่แท้จริงของผู้ใฝ่เรียนซึ่งมีลักษณะว่านอนสอนง่ายและมีการยอมรับอย่างเด็กเล็กๆ รวมอยู่ด้วย เราศึกษาเรื่องที่เข้าใจยากในพระคัมภีร์ให้แตกฉานด้วยวิธีเดียวกันกับที่ใช้เก็บเกี่ยวปัญหาทางด้านปรัชญาไม่ได้ เราจะต้องไม่ศึกษาพระคัมภีร์ด้วยความเชื่อมั่นในตนเองซึ่งเป็นวิธีที่คนมากมายใช้ในการศึกษาเรื่องทางวิทยาศาสตร์ แต่เราจะต้องหมั่นอธิษฐาน พึ่งพิงในพระเจ้า และปรารถนาอย่างจริงใจเพื่อเรียนรู้น้ำพระทัยของพระองค์ เราจะต้องเข้ามาหาพระองค์ด้วยจิตวิญญาณที่ถ่อมและยอมรับฟังคำสอนเพื่อรับความรู้จากพระองค์ผู้ยิ่งใหญ่ผู้ทรงพระนามว่า “เราเป็น” [อพยพ 3:14] ไม่เช่นนั้น ทูตแห่งความชั่วจะทำให้ความคิดของเราบอดไปและทำให้หัวใจของเราแข็งกระด้างจนสัจธรรมประทับลงในตัวเราไม่ได้ {GC 599.1} GCth17 522.1

มีข้อความหลายตอนในพระคัมภีร์ที่ผู้คงแก่เรียนประกาศว่าเป็นเรื่องลึกลับ หรือถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ สำหรับผู้ที่ได้รับการสั่งสอนในโรงเรียนของพระคริสต์ ข้อความดังกล่าวจะเต็มไปด้วยถ้อยคำปลอบประโลมใจและคำชี้แนะ ทำไมนักศาสนศาสตร์จำนวนมากมายจึงไม่เข้าใจพระคำของพระเจ้า เหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะพวกเขาปิดหูปิดตาให้กับสัจธรรมต่างๆ ที่ตนไม่ต้องการปฏิบัติตาม การเข้าใจสัจธรรมในพระคัมภีร์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังทางปัญญาที่ลงแรงค้นคว้า แต่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายอันแน่วแน่อย่างจริงใจ นั่นคือความต้องการอย่างจริงจังของการแสวงหาความชอบธรรม {GC 599.2} GCth17 522.2

เราไม่ควรศึกษาพระคัมภีร์โดยปราศจากการอธิษฐาน มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะทรงประกอบกิจเพื่อให้เรารู้สึกถึงความสำคัญของสิ่งเหล่านั้นที่เข้าใจได้ง่ายหรือจะทรงขวางเราจากการปล้ำสู้กับสัจธรรมทั้งหลายที่เข้าใจยาก บรรดาทูตสวรรค์มีหน้าที่ตระเตรียมจิตใจเพื่อให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่เราจะรู้สึกหลงใหลในความงดงามแห่งพระวจนะนั้นและยอมรับคำเตือนชี้แนะจากพระวจนะ หรือรู้สึกสนุกสนานและได้รับพละกำลังจากพระสัญญาของพระวจนะนั้น เราจะต้องให้คำทูลขอของผู้ประพันธ์พระธรรมสดุดีมาเป็นของเราว่า “ขอทรงเปิดตาข้าพระองค์เพื่อข้าพระองค์จะเห็นสิ่งอัศจรรย์จากธรรมบัญญัติของพระองค์” สดุดี 119:18 บ่อยครั้งที่ดูเสมือนหนึ่งว่าเราไม่อาจต้านทานการทดลองได้ นั่นเป็นเพราะการละเลยการอธิษฐานและการศึกษาพระคัมภีร์ทำให้ผู้ที่ถูกทดลองไม่สามารถจดจำพระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้าได้อย่างทันท่วงทีและไม่สามารถเข้าเผชิญหน้ากับซาตานโดยมีพระคัมภีร์เป็นอาวุธได้ แต่บรรดาทูตสวรรค์เฝ้าล้อมรอบผู้ที่ยินดีเต็มใจที่จะได้รับการสั่งสอนในเรื่องของพระเจ้าและในห่วงเวลาแห่งความต้องการยิ่งใหญ่ ทูตสวรรค์จะช่วยให้พวกเขาหวงคิดถึงสัจธรรมเหล่านั้นที่พวกเขาต้องการ ดังนั้น “เมื่อศัตรูจะเข้ามาดั่งน้ำท่วมเชี่ยว พระวิญญาณของพระเจ้าชูโล่ขึ้นต้านเขา” อิสยาห์ 59:19 {GC 599.3} GCth17 522.3

พระเยซูทรงสัญญากับสาวกทั้งหลายของพระองค์ว่า “องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” ยอห์น 14:26 แต่คำสอนของพระคริสต์จะต้องถูกเก็บไว้ในสมองก่อน เพื่อที่พระวิญญาณของพระเจ้าจะทรงเตือนความทรงจำในเวลาที่เราตกอยู่ในภัยอันตราย กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจเพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์” สดุดี 119:11 {GC 600.1} GCth17 523.1

ทุกคนที่เห็นถึงความสำคัญในเรื่องนิรันดร์กาลจะต้องคอยระวังอย่าให้ความสงสัยเข้ามาแทรกแซง บรรดาเสาหลักของสัจธรรมจะถูกโจมตี มันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำตัวของเราให้ออกห่างไปจากคำสอนนอกศาสนายุคใหม่ที่ถากถางหรือหลอกลวงอีกทั้งยังบ่อนทำลายและร้ายกาจ ซาตานปรับการทดลองของมันให้เข้าได้กับคนทุกชนชั้น มันจู่โจมคนอ่านหนังสือไม่ออกด้วยคำตลกคะนองและการเย้ยหยัน ในขณะที่เข้าหาคนที่มีการศึกษาด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์และเหตุผลทางปรัชญา ทั้งสองเหมือนกันคือถูกวางแผนมาเพื่อกระตุ้นความไม่วางใจหรือดูแคลนพระคัมภีร์ แม้แต่กับเยาวชนที่อ่อนประสบการณ์ก็ยังทึกทักที่จะสอดแทรกความสงสัยเรื่องหลักการพื้นฐานของคริสเตียนเอาไว้ และเยาวชนที่ไม่ซื่อสัตย์นอกใจผู้นี้ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาตื้นเขินก็ยังแผ่อิทธิพลของเขาออกไปด้วย ด้วยประการฉะนี้จึงมีคนมากมายที่ล้อเลียนความเชื่อของบรรพบุรุษและขัดขวางพระวิญญาณผู้ทรงพระคุณ ฮีบรู 10:29 ชีวิตมากมายที่คาดหวังว่าจะถวายเกียรติพระเจ้าและเป็นพระพรแก่โลกถูกลมหายใจเน่าเปื่อยของความไม่ซื่อสัตย์นอกใจทำลาย ทุกคนที่วางใจในการตัดสินใจด้วยเหตุผลที่โอ้อวดของมนุษย์และจินตนาการว่าพวกเขาสามารถอธิบายความลึกลับของพระเจ้าและมาถึงความจริงได้โดยไม่ต้องรับความช่วยเหลือจากพระปัญญาของพระเจ้านั้นกำลังติดอยู่ในกับดักของซาตาน {GC 600.2} GCth17 523.2

เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญจริงจังที่สุดของประวัติศาสตร์โลก ชะตากรรมของฝูงชนจำนวนมากในโลกกำลังจะถูกตัดสิน ความเป็นอยู่ในอนาคตของเราเองและความรอดของจิตวิญญาณอื่นๆ ขึ้นกับวิถีทางที่เรากำลังดำเนินอยู่ในปัจจุบันนี้ เราจำเป็นต้องให้พระวิญญาณแห่งสัจธรรมนำทางเรา ผู้ติดตามของพระคริสต์ทุกคนจะต้องถามด้วยความจริงใจว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงประสงค์จะให้ข้าพระองค์ทำอะไร” เราจะต้องถ่อมตัวเราเองลงต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าด้วยการอดอาหาร และการอธิษฐาน และการใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระองค์ให้มากโดยเฉพาะภาพเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องการพิพากษา บัดนี้เราจะต้องแสวงหาประสบการณ์ในเรื่องของพระเจ้าที่ลึกซึ้งและมีชีวิต เราไม่มีเวลาที่จะให้สูญเสียได้อีกแล้ว เหตุการณ์สำคัญยิ่งกำลังเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเรา เรากำลังอยู่ในพื้นที่แห่งความเย้ายวนของซาตาน คนเฝ้ายามของพระเจ้าจงอย่าหลับใหล ศัตรูกำลังย่องเข้ามาใกล้ จงเตรียมพร้อมทุกเวลา หากท่านจะผ่อนคลายสบายกายและง่วงเหงาหาวนอน มันจะกระโจนเข้าใส่ท่านและจับท่านเป็นเหยื่อ {GC 601.1} GCth17 523.3

คนมากมายถูกหลอกในเรื่องสถานภาพที่แท้จริงของพวกเขาต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า พวกเขายินดีกับตัวเองที่ไม่ได้ทำความผิดแต่ลืมนับการกระทำดีและการกระทำอันมีคุณธรรมที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้พวกเขาทำแต่พวกเขาละเลยที่จะทำ การที่เขาจะเป็นต้นไม้อยู่ในสวนของพระเจ้านั้นไม่เพียงพอ พวกเขาจะต้องสนองตอบตามที่พระเจ้าทรงคาดหวังไว้ด้วย นั่นคือ พวกเขาจะต้องเกิดผล พระองค์ทรงถือว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบกับการดีทั้งปวงที่พวกเขาควรจะทำผ่านทางพระคุณของพระองค์ที่เสริมกำลังพวกเขา ในหนังสือต่างๆ ของสวรรค์ พวกเขาถูกบันทึกไว้ว่าเป็นผู้ที่ทำดินให้รกรุงรัง แต่ถึงกระนั้น กรณีของคนกลุ่มนี้ก็ยังไม่สิ้นหวังเสียเลยทีเดียว สำหรับบรรดาผู้ที่ดูแคลนพระเมตตาคุณของพระเจ้าและใช้พระคุณของพระองค์ไปในทางที่ผิดนั้น พระทัยแห่งรักที่ทรงอดทนนานยังคงร้องเรียกต่อไปอีกว่า “ดังนั้นจึงมีคำกล่าวว่า คนที่หลับอยู่ จงตื่นขึ้น และจงเป็นขึ้นจากตายแล้วพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน เหตุฉะนั้น จงระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี……จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคสมัยที่ชั่วร้าย” เอเฟซัส 5:14-16 {GC 601.2} GCth17 523.4

เมื่อเวลาแห่งการทดสอบมาถึง ผู้ที่ใช้พระคำของพระเจ้าเป็นกฎในการดำเนินชีวิตจะถูกเปิดเผยตัวออกมาให้เห็น ในช่วงฤดูร้อน เราแทบจะมองไม่เห็นความแตกต่างระหว่างต้นสนและต้นไม้อื่นๆ แต่เมื่อฤดูหนาวกระหน่ำเข้ามา ต้นสนจะยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ในขณะที่ต้นไม้อื่นๆ จะร่วงโรยจนไม่มีใบหลงเหลือ ดังนั้น ในเวลานี้ เราไม่อาจแยกผู้เชื่อที่ไม่จริงใจออกจากคริสเตียนแท้จริงได้ แต่เวลาใกล้จะมาถึง เมื่อความแตกต่างนี้จะปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัด จงให้การขัดแย้งเกิดขึ้น จงให้ความดันทุรังและความไม่ยอมผ่อนปรนเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง จงให้การกดขี่ข่มเหงจุดประกายขึ้น แล้วคนที่ไม่จริงใจและคนหน้าไหว้หลังหลอกจะหวั่นไหวและละทิ้งความเชื่อ แต่คริสเตียนที่แท้จริงจะตั้งมั่นดั่งศิลา ความเชื่อของเขาจะแข็งแกร่ง ความหวังจะเจิดจ้ากว่าในวันที่อุดมสมบูรณ์ {GC 602.1} GCth17 524.1

ผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “ พระโอวาทของพระองค์เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์” “ ข้าพระองค์ได้ความเข้าใจจากข้อบังคับของพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์เกลียดชังวิถีเท็จทุกอย่าง” สดุดี 119:99, 104 {GC 602.2} GCth17 524.2

“ มนุษย์ผู้ประสบปัญญา และผู้ได้ความเข้าใจก็เป็นสุขจริงหนอ” “ เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำ ซึ่งหยั่งรากของมันออกไปข้างลำน้ำ เมื่อแดดส่องมาถึงก็ไม่กลัว เพราะใบของมันคงเขียวอยู่เสมอ และไม่กระวนกระวายในปีที่แห้งแล้ง เพราะมันไม่หยุดที่จะเกิดผล” สุภาษิต 3:13 เยเรมีย์ 17:8 {GC 602.3} GCth17 524.3

*****