สงครามครั้งยิ่งใหญ่

36/45

บท 33 - การหลอกลวงยิ่งใหญ่ครั้งแรก

ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ยุคแรกเริ่มของมวลมนุษย์ ซาตานเริ่มลงแรงหลอกลวงเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา มันเป็นผู้ก่อการกบฏขึ้นในสวรรค์ มันต้องการนำคนทั้งโลกให้ร่วมทำสงครามเพื่อต่อสู้การปกครองของพระเจ้า อาดัมและเอวามีความสุขอย่างแท้จริงเมื่อพวกเขาเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้าและความจริงข้อนี้เป็นพยานปรักปรำถึงข้ออ้างที่มันกล่าวหาไว้ในสวรรค์อยู่ตลอดเวลาว่า ธรรมบัญญัติของพระเจ้ากดขี่และขัดขวางผลประโยชน์ของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้าง และนอกจากนี้ ความอิจฉาของมันยังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นเมื่อมันมองดูบ้านอันสวยงามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับคู่ชายหญิงผู้ปราศจากบาป มันตั้งใจจะทำให้พวกเขาล้มลงในบาปเพื่อว่าเมื่อแยกพวกเขาออกจากพระเจ้าและนำให้มาอยู่ภายใต้อำนาจของมันได้แล้ว มันก็จะครอบครองโลกและจัดตั้งอาณาจักรของมันไว้บนโลกนี้เพื่อต่อต้านพระผู้สูงสุด {GC 531.1} GCth17 465.1

หากซาตานเปิดเผยลักษณะที่แท้จริงของมันเอง มันก็คงจะถูกปฏิเสธในทันที เพราะอาดัมและเอวาได้รับคำเตือนถึงศัตรูตัวฉกาจนี้ แต่มันทำงานในที่มืด มันปกปิดเป้าหมายของมันไว้เพื่อที่จะดำเนินการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในเวลานั้นงูเป็นสัตว์ที่มีรูปร่างน่าลุ่มหลง มันจึงใช้งูเป็นสื่อและตัวมันเองเป็นผู้พูดกับเอวาผ่านสื่อว่า “จริงหรือ ที่พระเจ้าตรัสว่า ‘ห้ามพวกเจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้’” ปฐมกาล 3:1 หากเอวาถอยออกไปโดยไม่ถกเถียงกับผู้ล่อลวงตนนี้ เธอก็คงจะปลอดภัย แต่เธอกลับไปต่อปากต่อคำกับมันและตกเป็นเหยื่อในแผนร้ายของมัน ด้วยวิธีเดียวกันนี้ มีคนมากมายที่ยังคงตกเป็นเหยื่อของซาตาน พวกเขาสงสัยและโต้เถียงเรื่องข้อกำหนดของพระเจ้า และแทนที่จะเชื่อฟังพระบัญชาต่างๆ ของพระองค์ พวกเขากลับรับทฤษฏีของมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงเครื่องมือของซาตานที่ถูกอำพรางไว้ {GC 531.2} GCth17 465.2

“หญิงนั้นจึงตอบงูว่า ‘ผลของต้นไม้ในสวนนี้เรากินได้ เว้นแต่ผลของต้นไม้ที่อยู่กลางสวนนั้น พระเจ้าตรัสว่า ห้ามพวกเจ้ากินและถูกต้องเลย มิฉะนั้นพวกเจ้าจะตาย’ งูจึงพูดกับหญิงนั้นว่า ‘พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว’” ปฐมกาล 3:2-5 มันประกาศว่า พวกเขาจะเป็นเหมือนพระเจ้า จะมีสติปัญญาที่ดีขึ้นกว่าเดิมและจะมีสถานภาพที่สูงขึ้น เอวาพ่ายแพ้ต่อการทดลอง และโดยอิทธิพลของเธอ อาดัมจึงถูกนำให้ทำบาปด้วย พวกเขายอมรับถ้อยคำของงูที่ว่าพระเจ้าไม่ทรงเอาจริงกับสิ่งที่ตรัสไว้ พวกเขาไม่วางใจพระผู้สร้างและคิดว่าพระองค์ทรงจำกัดเสรีภาพของตน และคิดว่าพวกเขาน่าจะได้รับปัญญาและเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ด้วยการละเมิดธรรมบัญญัติของพระองค์ {GC 532.1} GCth17 466.1

แต่หลังจากการทำบาป อาดัมค้นพบประโยคที่ว่า “ในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” นั้นหมายความว่าอะไร ปฐมกาล 2:17 เขาได้ความหมายตามที่ซาตานชักนำให้เขาเชื่อซึ่งกล่าวว่าเขาจะก้าวขึ้นไปสู่สถานภาพที่สูงส่งกว่าหรือ แล้วแน่นอนจะได้รับผลดีอันยิ่งใหญ่ด้วยการล่วงละเมิดและซาตานผ่านการพิสูจน์ว่าเป็นผู้มีบุญคุณของเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ แต่อาดัมไม่ได้พบว่านี่คือความหมายของการพิพากษาของพระเจ้า พระองค์ทรงประกาศว่า เพื่อเป็นการลงโทษบาปของมนุษย์ เขาจึงต้องกลับไปสู่ดินที่เขามานั้น “เจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” ปฐมกาล 3:19 คำพูดของซาตานที่ว่า “ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้น” เกิดขึ้นจริงในความหมายในแง่นี้เท่านั้น ภายหลังจากที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตาของพวกเขาถูกเปิดออกเพื่อมองเห็นความเขลาของตน พวกเขาได้รู้จักกับความชั่วและได้ลิ้มรสผลลัพธ์อันขมขื่นของการล่วงละเมิด {GC 532.2} GCth17 466.2

ตรงใจกลางสวนเอเดนมีต้นไม้แห่งชีวิตขึ้นอยู่ ผลของต้นไม้นี้มีอำนาจต่อชีวิตให้ยาวออกไป หากอาดัมยังคงเชื่อฟังพระเจ้า เขายังเข้าไปถึงต้นไม้นี้ได้อย่างเสรี และมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่เมื่อเขาทำบาป เขาถูกตัดขาดไม่ให้เข้าไปรับประทานผลจากต้นไม้แห่งชีวิต ดังนั้นเขาจึงตกไปอยู่ใต้อำนาจของความตาย คำตัดสินของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าเป็นผงคลีดินและเจ้าจะกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม” แสดงให้เห็นว่า ในที่สุดชีวิตจะสูญสิ้นไป {GC 532.3} GCth17 466.3

ชีวิตอมตะที่ทรงสัญญาให้กับมนุษย์ด้วยข้อแม้ของการเชื่อฟังจึงถูกริบคืนไปด้วยการล่วงละเมิด อาดัมถ่ายทอดสิ่งที่เขาไม่มีไปให้แก่ลูกหลานไม่ได้ และเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ล้มลงในบาปก็สิ้นหวัง แต่ด้วยการเสียสละของพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าจึงทรงนำชีวิตอมตะมาอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในขณะที่ “ความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป” พระเยซูคริสต์ “ทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ” โรม 5:12 2 ทิโมธี 1:10 และโดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะได้ชีวิตอมตะ พระเยซูตรัสว่า “คนที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต” ยอห์น 3:36 ทุกคนเข้ามารับพระพรนี้ได้เมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไข ทุกคน “ที่พากเพียรทำความดี แสวงหาศักดิ์ศรี เกียรติ และความเป็นอมตะนั้น” จะได้ “ชีวิตนิรันดร์” โรม 2:7 {GC 533.1} GCth17 467.1

บุคคลเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สัญญากับอาดัมว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้โดยการไม่ต้องเชื่อฟัง คือจอมหลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่ และคำประกาศของงูที่กล่าวแก่เอวาในสวนเอเดนว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่” นั้น เป็นคำเทศนาบทแรกที่กล่าวถึงเรื่องวิญญาณที่ไม่ตาย แต่กระนั้น คำประกาศนี้ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานที่มาจากอำนาจของซาตานเท่านั้นดังก้องจากบรรดาธรรมาสน์ของโลกคริสเตียน และเผ่าพันธุ์มนุษย์ส่วนใหญ่ยอมรับด้วยความเต็มใจเหมือนที่บรรพบุรุษคู่แรกของเรารับไว้ คำตัดสินลงโทษของพระเจ้าที่ว่า “ตัวคนที่ทำบาปจะต้องตาย” เอเสเคียล 18:20 นั้นถูกแปรเปลี่ยนมาเป็นว่าจิตวิญญาณที่ทำบาปจะไม่ตาย แต่จะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เราทำอย่างอื่นไมได้นอกจากฉงนใจกับความมัวเมาอย่างประหลาดที่ทำให้มนุษย์เชื่อคำพูดของซาตานได้ง่ายเช่นนี้และไม่ยอมเชื่อพระคำของพระเจ้าได้ถึงขนาดนี้ {GC 533.2} GCth17 467.2

หากภายหลังจากที่มนุษย์ล้มลงในบาปแล้วยังได้รับอนุญาตให้เข้าถึงต้นไม้แห่งชีวิตอย่างเสรี เขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปและเมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้บาปเป็นอมตะ แต่เครูบและกระบี่เพลิงกั้นขวาง “ทางที่จะไปสู่ต้นไม้แห่งชีวิต” ไว้ ปฐมกาล 3:24 และไม่มีสมาชิกคนใดในครอบครัวของอาดัมได้รับอนุญาตให้ผ่านสิ่งกีดขวางและรับประทานผลไม้ที่ให้ชีวิตนั้น ดังนั้นจึงไม่มีคนบาปที่มีชีวิตเป็นอมตะ {GC 533.3} GCth17 467.3

แต่ภายหลังที่มนุษย์ล้มลงในบาปแล้ว ซาตานสั่งสมุนของมันให้ลงแรงเป็นพิเศษที่จะตอกย้ำความเชื่อเรื่องธรรมชาติที่เป็นอมตะของมนุษย์ และเมื่อมันชักจูงคนให้ยอมรับคำสอนที่ผิดนี้ได้แล้ว มันก็นำให้พวกเขาสรุปว่าคนบาปจะมีชีวิตตลอดไปอย่างทุกข์ทรมาน บัดนี้เจ้าชายแห่งความมืดซึ่งทำงานผ่านตัวแทนของมันจะแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าเป็นทรราชที่ผูกพยาบาท มันประกาศว่าพระองค์จะกวาดต้อนทุกคนที่พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยลงไปในนรก และทำให้พวกเขาลิ้มรสพระพิโรธของพระองค์ไปตลอดกาล และในขณะที่พวกเขาทรมานอยู่ในความทุกข์ระทมที่ไม่อาจบรรยายได้และชักดิ้นอยู่ในเปลวเพลิงนิรันดร์นั้น พระผู้สร้างทอดพระเนตรมายังพวกเขาด้วยความพึงพอพระทัย {GC 534.1} GCth17 468.1

ด้วยประการฉะนี้ ปีศาจเอาคุณลักษณะของพระผู้สร้างและพระผู้ทรงมีพระคุณของมนุษยชาติมาสวมใส่ให้กับตัวเอง ความโหดเหี้ยมเป็นของซาตาน พระเจ้าทรงเป็นความรัก และทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และงามน่ารัก จนกระทั่งจอมกบฏคนแรกนี้นำบาปเข้ามา ซาตานเองคือศัตรูที่ล่อให้มนุษย์ทำบาปและถ้ามันทำได้มันก็จะทำลายพวกเขาเสีย และเมื่อมันมั่นใจว่ามนุษย์ตกเป็นเหยื่อของมันแล้ว มันก็จะยินดีปรีดาในหายนะที่ทำไว้ หากมันทำได้ มันต้องการจะกวาดต้อนมนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์ให้ติดร่างแหของมัน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะอำนาจของพระเจ้าที่ขัดขวางไว้แล้ว ก็จะไม่มีบุตรชายหญิงของอาดัมสักคนเดียวรอดได้เลย {GC 534.2} GCth17 468.2

ในทุกวันนี้ ซาตานจ้องหาทางเอาชนะมนุษย์เหมือนที่มันเอาชนะบรรพบุรุษคู่แรกของเรามาแล้ว ด้วยการทำลายความเชื่อมั่นของพวกเขาที่มีในพระผู้สร้าง และทำให้พวกเขาสงสัยในพระปัญญาที่พระองค์ทรงใช้ในการปกครองและสงสัยในความยุติธรรมของธรรมบัญญัติต่างๆ ของพระเจ้า ซาตานและผู้แทนของมันกล่าวหาว่าพระเจ้าทรงเลวร้ายกว่าพวกมันเพื่อเป็นการแก้ต่างให้กับความโหดร้ายและการกบฏของพวกมันเอง จอมหลอกลวงผู้ยิ่งใหญ่ลงแรงโยกย้ายอุปนิสัยโหดเหี้ยมของมันเองไปให้แก่พระบิดาบนสวรรค์ เพื่อทำให้ดูประหนึ่งว่ามันเองถูกใส่ร้ายและถูกขับออกจากสวรรค์เพราะมันไม่ยอมอยู่ภายใต้ผู้ปกครองที่ไม่เที่ยงธรรม มันนำเสนอให้โลกมองเห็นว่าพวกเขาจะอยู่อย่างมีความสุขภายใต้เสรีภาพของการปกครองที่ไม่เข้มงวดของมัน ซึ่งตรงข้ามกับพระบัญชาอันเข้มงวดของพระยาห์เวห์ที่บีบบังคับพวกเขา ด้วยประการฉะนี้ มันจึงประสบความสำเร็จในการล่อลวงจิตวิญญาณให้หันไปจากความภักดีที่มีต่อพระเจ้า {GC 534.3} GCth17 468.3

หลักคำสอนเรื่องคนชั่วที่ตายไปแล้วจะถูกทรมานในนรกด้วยไฟและกำมะถันที่ลุกไหม้อยู่ชั่วนิรันดร์นั้นช่างเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเพียงไรต่อทุกอารมณ์แห่งความรักและความเมตตาและแม้กระทั่งต่อความรู้สึกที่เป็นธรรมของเรา เป็นเพราะบาปของชีวิตอันสั้นในโลกนี้พวกเขาจึงต้องทนทุกข์ทรมานนานแสนนานตราบเท่าที่พระเจ้าทรงมีพระชนม์อยู่ แต่กระนั้นหลักคำสอนเรื่องนี้ยังคงแพร่หลายและฝังลึกอยู่ในหลักความเชื่อของอาณาจักรคริสเตียนจำนวนมาก นักศาสนศาสตร์ปริญญาเอกคนหนึ่งกล่าวว่า “ภาพทรมานในนรกจะทำให้วิสุทธิชนทั้งหลายมีความสุขตลอดไป เมื่อพวกเขาเห็นคนที่มีนิสัยแบบเดียวกันและเกิดมาด้วยสภาพที่เหมือนกันถูกกวาดต้อนลงไปอยู่ในความทุกข์ระทม และการที่พวกเขาแตกต่างจากพวกนั้นเช่นนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีความสุขมากเพียงไร” มีอีกคนหนึ่งบรรยายไว้ว่า “ในขณะที่คำพิพากษาแห่งการสาปแช่งดำเนินอยู่ในภาชนะแห่งความแค้นไปตลอดกาลนั้น ควันแห่งการทรมานของพวกเขาทั้งหลายจะลอยขึ้นไปเป็นนิจในสายตาของภาชนะแห่งความเมตตา ซึ่งแทนที่จะเข้าไปมีส่วนในเป้าหมายอันน่าลำเค็ญเหล่านี้ พวกเขากลับกล่าวว่า อาเมน อาเลลูยา สรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า” {GC 535.1} GCth17 469.1

คำสอนเช่นนี้หาได้จากหน้าไหนในพระคำของพระเจ้าเล่า ผู้ที่ได้รับความรอดในสวรรค์จะสูญเสียอารมณ์ทั้งหมดของความสงสารและความเห็นใจและแม้กระทั่งความรู้สึกธรรมดาของมนุษย์หรือ จะเอาเรื่องเหล่านี้ไปแลกกับความไร้อารมณ์ของผู้ถือลัทธิสโตอิกหรือความโหดเหี้ยมของคนป่าเถื่อนหรือ ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน คำสอนเช่นนี้ไม่ได้มาจากพระคำของพระเจ้า ผู้ที่มีแนวคิดตามความเห็นที่เสนอข้างต้นนั้นอาจจะเป็นคนที่มีความรู้และจริงใจ แต่พวกเขาถูกเล่ห์ของซาตานหลอก มันนำพวกเขาให้เข้าใจข้อความอันหนักแน่นของพระคัมภีร์ไปในทางที่ผิด มอบภาษาที่แสดงออกถึงความขมขื่นและความมุ่งร้ายซึ่งเป็นความรู้สึกของมันเองแต่ไม่ใช่ความรู้สึกของพระผู้สร้างของเรา “เรามีชีวิตอยู่แน่นอนอย่างไร เราไม่พอใจในความตายของคนอธรรม แต่พอใจในการที่คนอธรรมหันจากทางของเขาและมีชีวิตอยู่ไม่ใช่หรือ จงหันกลับ จงหันกลับจากทางชั่วของเจ้า โอ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ทำไมจึงยอมตาย” เอเสเคียล 33:11 {GC 535.2} GCth17 469.2

พระเจ้าจะทรงได้รับสิ่งใดหากเรายอมรับว่าพระองค์ทรงชื่นชอบกับการมองดูความทุกข์ทรมานอันไม่มีวันจบสิ้นและพระองค์ทรงเพลิดเพลินกับเสียงร้องโอดครวญและเสียงกรีดร้องและคำแช่งของสิ่งมีชีวิตที่พระองค์ทรงปล่อยให้ทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนรก เสียงอันน่าสยดสยองเหล่านี้จะเป็นเสียงดนตรีในพระกรรณของพระผู้ทรงเป็นความรักที่ไร้ขอบเขต/ที่ไม่สิ้นสุด????ได้อย่างไร มีการเร่งเร้าว่าการลงโทษคนชั่วด้วยความทุกข์ทรมานอย่างไม่สิ้นสุดนั้นแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเกลียดชังบาปที่เป็นความชั่วซึ่งส่งผลร้ายต่อสันติสุขและความเป็นระเบียบของจักรวาล โอ นี่คือการหมิ่นประมาทพระนามของพระเจ้าอย่างเลวร้าย ทำราวกับว่าความเกลียดชังบาปของพระเจ้าเป็นเหตุผลที่ทำให้บาปยังคงอยู่ได้ตลอดไป ตามคำสอนของนักศาสนศาสตร์เหล่านี้ การทรมานอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีความหวังที่จะได้รับความเมตตาทำให้เหยื่อที่น่าสงสารบ้าคลั่ง และในขณะที่พวกเขาสาปแช่งและหมิ่นประมาทพระเจ้าด้วยความเดือดดาลนั้น ความผิดของพวกเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น พระสิริของพระเจ้าไม่ได้ถูกเพิ่มขึ้นด้วยบาปที่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดทุกยุค {GC 536.1} GCth17 470.1

เป็นเรื่องเกินกำลังสมองของมนุษย์ที่จะประเมินความชั่วร้ายที่เกิดจากคำสอนผิดในเรื่องของการทรมานชั่วนิรันดร์ ศาสนาของพระคัมภีร์ที่เปี่ยมด้วยความรักและความดีทั้งอุดมด้วยความเห็นอกเห็นใจถูกทำให้มัวหมองไปด้วยความงมงายและถูกเติมแต่งด้วยความน่าสะพรึงกลัว เมื่อเราพิจารณาถึงซาตานป้ายสีที่ผิดๆ ใส่พระลักษณะของพระเจ้า เราจะไม่สงสัยหรือว่าพระผู้สร้างผู้ทรงกอปรด้วยพระเมตตาคุณของเรานั้นน่ากลัว น่ารังเกียจและน่าเกลียดชัง คำสั่งสอนจากธรรมาสน์ด้วยภาพของพระเจ้าที่น่ากลัวเช่นนี้แพร่กระจายไปทั่วทั้งโลกทำให้คนนับล้านนับพันสงสัยและไม่เชื่อในศาสนา {GC 536.2} GCth17 470.2

ทฤษฏีเรื่องการทรมานชั่วนิรันดร์เป็นคำสอนเท็จเรื่องหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของเหล้าอันน่าสะอิดสะเอียนของบาบิโลนซึ่งเธอบังคับให้ทุกชนชาติดื่ม วิวรณ์ 14:8; 17:2 การที่ผู้รับใช้ของพระเยซูคริสต์รับคำสอนที่ผิดนี้และประกาศสั่งสอนจากธรรมาสน์อันศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ลึกลับอย่างแน่แท้ พวกเขารับเรื่องนี้จากโรมเหมือนเช่นการรับเรื่องของวันสะบาโตเทียมเท็จ จริงอยู่ เรื่องนี้ถูกสอนโดยบุคคลที่ยิ่งใหญ่และคนดี แต่พวกเขาไม่ได้รับแสงสว่างในเรื่องนี้เหมือนเช่นที่พวกเราได้รับ พวกเขาต้องรับผิดชอบกับแสงที่ส่องมาในยุคของพวกเขาเท่านั้น เรารับผิดชอบต่อแสงสว่างที่ส่องมาในสมัยของเรา หากเราหันไปจากคำพยานในพระคำของพระเจ้าและรับหลักคำสอนเทียมเท็จด้วยเหตุผลว่าบรรพบุรุษของเราได้สอนไว้ เราก็จะตกเข้าไปสู่คำสาปแช่งที่มีไว้สำหรับบาบิโลน เรากำลังดื่มเหล้าองุ่นอันน่าสะอิดสะเอียนของเธอ {GC 536.3} GCth17 470.3

มีคนกลุ่มใหญ่ซึ่งรังเกียจหลักคำสอนเรื่องการทรมานชั่วนิรันดร์กำลังถูกผลักดันไปยังอีกด้านหนึ่งของความเชื่อผิด พวกเขารับรู้ว่าพระคัมภีร์นำเสนอพระเจ้าว่าทรงเปี่ยมด้วยความรักและพระเมตตาคุณ พวกเขาไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระองค์จะทรงมอบสิ่งมีชีวิตของพระองค์ให้ลงไปอยู่ในไฟนรกที่เผาอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่พวกเขาก็เชื่อว่าจิตวิญญาณมีธรรมชาติที่เป็นอมตะ พวกเขาจึงมองไม่เห็นทางเลือกอื่นนอกจากสรุปว่ามนุษย์ทั้งมวลจะรอดได้ในที่สุด คนมากมายมองดูว่า คำขู่ในพระคัมภีร์มีไว้สำหรับทำให้มนุษย์กลัวเพื่อจะให้เชื่อฟังและสิ่งเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นตามที่บันทึกไว้ ดังนั้น คนบาปจึงมีชีวิตเพื่อความสุขอย่างเห็นแก่ตัว ละเลยข้อกำหนดของพระเจ้าและยังหวังที่จะรับความพึงพอพระทัยของพระเจ้าในที่สุด คำสอนเช่นนี้ตั้งอยู่บนความคาดหวังในพระเมตตาคุณของพระเจ้า แต่ไม่สนใจในความยุติธรรมของพระองค์ ทำให้หัวใจที่ฝักใฝ่ในเนื้อหนังพึงพอใจและทำให้คนชั่วกล้ากระทำการชั่วของตน {GC 537.1} GCth17 471.1

ในการที่จะแสดงให้เห็นว่าบรรดาผู้เชื่อในคำสอนเรื่องความรอดครอบจักรวาลใช้พระคัมภีร์มาสนับสนุนคำสอนที่ทำลายจิตวิญญาณได้อย่างไรนั้น เป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องใช้คำพูดของพวกเขาเอง ในงานศพของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่เคร่งในศาสนาและตายกะทันหันจากอุบัติเหตุ ศาสนาจารย์ผู้เชื่อเรื่องความรอดครอบจักรวาลเลือกข้อความในพระคัมภีร์เรื่องของกษัตริย์ดาวิดที่ว่า “ดาวิดพระราชา…ทรงคิดถึงอัมโนนคลายลง เนื่องจากเขาสิ้นชีพแล้ว” 2 ซามูเอล 13:39 {GC 537.2} GCth17 471.2

นักเทศน์คนนั้นกล่าวว่า “มีคนถามข้าพเจ้าเสมอว่า ผู้ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาปจะมีชะตากรรมเช่นใดเมื่อเขาจากโลกนี้ไป เขาอาจตายไปในขณะที่มึนเมา ตายพร้อมกับรอยเปรอะเปื้อนของอาชญากรรมแดงก่ำที่ไม่ได้ล้างให้สะอาด หรือตายเหมือนเช่นชายหนุ่มคนนี้ที่ไม่เคยรับเชื่อหรือมีความสุขกับประสบการณ์ทางศาสนา เราพอใจกับพระคัมภีร์ คำตอบจากพระคัมภีร์จะแก้ปัญหาอันน่ากลัวนี้ อัมโนนเป็นคนบาปหนาอย่างมากยิ่ง เขาไม่ยอมกลับใจ เขาเมาและในขณะที่มึนเมาอยู่นั้นก็ตาย ดาวิดทรงเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ย่อมทรงทราบดีว่าในโลกที่จะมาถึงนั้นอัมโนนจะอยู่ในสภาพเลวร้ายหรือดีอย่างไร พระทัยของพระองค์ที่สำแดงออกมานั้นหมายความว่าอะไร ‘แล้วดาวิดพระราชาตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลมเพราะการที่ทรงคิดถึงอัมโนนนั้นคลายลง เนื่องจากเขาสิ้นชีพแล้ว’ 2 ซามูเอล 13:39 {GC 537.3} GCth17 471.3

“เราได้ข้อสรุปจากการอนุมานภาษาคำพูดนี้ไว้อย่างไร การทรมานอย่างไม่รู้สิ้นสุดนี้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อทางศาสนาของพระองค์ไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเราจึงตั้งแง่คิด ด้วยว่าในที่นี้เรามาค้นพบข้อพิสูจน์อย่างภาคภูมิสนับสนุนสมมติฐานเรื่องความบริสุทธิ์และสันติสุขอย่างครอบจักรวาลทั้งหมดซึ่งถูกใจกว่า ให้ความกระจ่างมากกว่าและมีความเมตตามากกว่า ดาวิดทรงรับการเล้าโลมใจเมื่อเห็นพระราชโอรสของพระองค์สิ้นชีพ และทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เพราะด้วยสายตาของการพยากรณ์ พระองค์ทรงมองไปยังอนาคตข้างหน้าที่สดใสกว่าและเห็นพระโอรสองค์นั้นหลุดพ้นไปจากการทดลองทั้งปวง หลุดพ้นจากการจองจำและได้รับการชำระจากความชั่วของบาปและหลังจากที่ถูกทำให้บริสุทธิ์และบรรลุถึงความกระจ่างแล้ว เขาได้เข้าไปอยู่ร่วมในที่ชุมนุมของวิญญาณเบื้องบนและมีความชื่นชมยินดี ความเล้าโลมใจเดียวของพระองค์คือ พระโอรสอันเป็นที่รักของพระองค์ถูกนำออกไปจากสภาพปัจจุบันซึ่งเป็นบาปและทุกข์ทรมาน และได้ไปอยู่ในที่ๆ ลมพระโอษฐ์สูงส่งที่สุดของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป่าลงบนจิตวิญญาณอันมืดมนของเขาได้ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ความคิดของเขาจะเปิดรับปัญญาของสวรรค์และความรักอมตะอันหวานชื่นและเตรียมพร้อมด้วยธรรมชาติที่ผ่านการชำระแล้วให้พักผ่อนอย่างมีความสุขและเข้าสังคมกับผู้รับมรดกของสวรรค์ {GC 538.1} GCth17 472.1

“ ด้วยแนวคิดเช่นนี้เราต้องเข้าใจและเชื่อว่าความรอดของสวรรค์ไม่ได้ขึ้นกับสิ่งใดที่เราทำในชีวิตนี้ หรือไม่ขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงหัวใจใหม่ หรือความเชื่อของเราในปัจจุบันหรือการนับถือศาสนาของเราในเวลานี้” {GC 538.2} GCth17 472.2

ด้วยประการฉะนี้ อาจารย์ที่แสดงตนว่าเป็นผู้รับใช้ของพระคริสต์จึงได้กล่าวซ้ำคำที่งูพูดไว้ในสวนเอเดน “ พวกเจ้าจะไม่ตาย” “ พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า” เขาประกาศว่าคนบาปชั่วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นฆาตกร โจร ขโมย และคนผิดประเวณี เมื่อตายแล้วจะเข้าสู่ความสุขสำราญอมตะ {GC 538.3} GCth17 472.3

ผู้บิดเบือนพระคัมภีร์เหล่านี้เอาข้อสรุปเช่นนี้มาจากที่ใด จากประโยคเดียวของดาวิดที่จำนนต่อการทรงนำของพระเจ้า จิตวิญญาณของเขา “ตรอมพระทัยอาลัยถึงอับซาโลมเพราะการที่ทรงคิดถึงอัมโนนนั้นคลายลงเนื่องจากเขาสิ้นชีพแล้ว” ความเจ็บปวดของความโศกเศร้าใจคลายไปตามกาลเวลา ความคิดของพระองค์หันจากพระราชโอรสที่สิ้นชีพไปยังพระราชโอรสที่ยังมีชีวิตอยู่ ซึ่งขับไล่ตนเองออกไปอันเนื่องจากกลัวการลงโทษที่ยุติธรรมต่ออาชญากรรมที่เขาก่อไว้ และนี่เป็นหลักฐานของอัมโนนผู้ซึ่งเมาและผิดประเวณีกับคนในบ้านว่า เมื่อเขาตายแล้วได้ถูกโยกย้ายทันทีไปยังที่อยู่อาศัยแห่งความสุขสำราญ ที่นั่นเขาได้รับการชำระและถูกเตรียมให้พร้อมเพื่อเข้าไปอยู่ร่วมกับทูตสวรรค์ผู้ไม่มีบาป ช่างเป็นนิยายที่ถูกใจยิ่งนัก เหมาะกับความต้องการของจิตใจที่ฝักใฝ่เนื้อหนัง เป็นคำสอนของซาตานเอง และทำงานของมันอย่างได้ผล เราจะไม่รู้สึกแปลกใจหรือว่าด้วยคำสอนเช่นนี้ความชั่วจึงมีอยู่อย่างชุกชุม {GC 538.4} GCth17 472.4

แนวทางที่ครูเทียมเท็จคนนี้ดำเนินอยู่แสดงให้เห็นถึงแนวทางของครูเทียมเท็จอีกมากมาย การเอาคำบางคำออกไปจากเนื้อหาของพระคัมภีร์ซึ่งในหลายกรณีจะได้ความหมายที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงกับความหมายที่ได้จากการแปลความ และข้อความที่ไม่ประติดประต่อเช่นนี้เป็นข้อความที่ถูกบิดเบือนและถูกนำไปใช้เพื่อพิสูจน์หลักคำสอนซึ่งไม่มีรากฐานในพระคำของพระเจ้า ข้อความที่ใช้อ้างเป็นหลักฐานเพื่อแสดงว่าอัมโนนขี้เมาอยู่ในสวรรค์เป็นการอนุมานที่ขัดแย้งโดยตรงกับข้อความที่ชัดเจนและตรงไปตรงมาของพระคัมภีร์ที่ว่าคนขี้เมาจะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า 1 โครินธ์ 6:10 ด้วยวิธีเดียวกันนี้ คนช่างสงสัย คนไม่เชื่อและคนเย้ยหยันแปลงความจริงให้กลับเป็นเรื่องโกหก และคนจำนวนมากถูกเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขาหลอกและถูกกล่อมให้หลับในเปลอันปลอดภัยของฝ่ายเนื้อหนัง {GC 539.1} GCth17 473.1

หากวิญญาณของมนุษย์ทุกคนได้เข้าไปยังสวรรค์ เมื่อวาระของเขาสิ้นสุดลงนี้เป็นเรื่องจริงแล้ว เราน่าจะปรารถนาความตายมากกว่าการมีชีวิต มีคนมากมายถูกชักจูงด้วยความเชื่อนี้และได้ปลิดชีวิตของตนเองลง เมื่อชีวิตถูกรุมเร้าด้วยความทุกข์ ความกังวลใจ และความผิดหวัง ดูประหนึ่งว่าจะเป็นการง่ายที่จะเด็ดเส้นด้ายอันเปราะบางของชีวิตและบินไปสู่ความสุขสำราญของโลกนิรันดร์ {GC 539.2} GCth17 473.2

พระเจ้าประทานหลักฐานมั่นใจแน่วแน่ว่าพระองค์จะทรงลงโทษผู้ที่ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระองค์ ผู้ที่ปลอบใจตัวเองว่าพระองค์ทรงกอปรด้วยพระเมตตาคุณอันเหลือล้นจะไม่ลงโทษคนบาปนั้นควรมองไปยังกางเขนคาลวารี ความตายของพระบุตรผู้ทรงปราศจากบาปของพระเจ้าเป็นหลักฐานให้เห็นว่า “ค่าจ้างของบาปคือความตาย” การละเมิดบัญญัติทุกข้อของพระเจ้าจะต้องได้รับการตอบแทนที่ยุติธรรม พระคริสต์ผู้ทรงปราศจากบาปเสด็จมารับบาปของมนุษย์ พระองค์ทรงแบกรับความผิดของผู้ล่วงละเมิด และการที่พระบิดาทรงซ่อนพระพักตร์ไปจากพระองค์ ทำให้พระหทัยของพระองค์แตกสลายและชีวิตของพระองค์แตกหักไป การทรงสละทั้งหมดนี้กระทำไปเพื่อไถ่คนบาปให้รอด มนุษย์จะหลุดพ้นจากการลงโทษของบาปด้วยวิธีอื่นไม่ได้ และจิตวิญญาณทุกดวงที่ปฏิเสธไม่ยอมรับการไถ่บาปด้วยราคาแพงเช่นนี้จะต้องแบกรับความผิดและการลงโทษของการล่วงละเมิดด้วยตัวของเขาเอง {GC 539.3} GCth17 473.3

ให้เราพิจารณาดูซิว่าพระคัมภีร์สอนเพิ่มเติมไว้อย่างไรถึงเรื่องการกลับใจของคนอธรรมและคนที่ไม่กลับใจที่ผู้เชื่อในเรื่องความรอดครอบจักรวาล [Universalist] ที่สอนว่าคนเหล่านี้จะไปเป็นทูตสวรรค์ที่บริสุทธิ์และมีความสุขในสวรรค์ {GC 540.1} GCth17 473.4

“ใครที่กระหาย เราจะให้เขาดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” วิวรณ์ 21:6 พระสัญญานี้ให้ไว้สำหรับผู้กระหายเท่านั้น ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใดนอกจากผู้ที่รู้สึกว่าตนเองต้องการน้ำแห่งชีวิตและแสวงหาน้ำนั้นโดยยอมละทิ้งสิ่งของอื่นทั้งปวง “คนที่ชนะจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นบุตรของเรา” วิวรณ์ 21:7 ในที่นี้ยังระบุข้อกำหนดไว้ด้วย ในการที่จะเป็นผู้รับมรดกทั้งหมดได้นั้น เราจะต้องต่อต้านและเอาชนะบาป {GC 540.2} GCth17 473.5

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยผ่านผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “จงบอกคนชอบธรรมว่าเขาจะเป็นสุข” “วิบัติแก่คนอธรรม เพราะว่าสิ่งเลวร้ายจะเกิดกับเขา เพราะว่าเขาต้องถูกจัดการตามสิ่งที่มือของเขาได้ทำ” อิสยาห์ 3:10, 11 นักปราชญ์กล่าวว่า “แม้ว่าคนบาปทำชั่วตั้งร้อยครั้งและอายุเขายังยั่งยืนอยู่ได้ ถึงกระนั้นข้าพเจ้ายังรู้แน่ว่า สวัสดิมงคลจะมีแก่เขาทั้งหลายที่ยำเกรงพระเจ้า คือที่มีความยำเกรงเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แต่ว่าจะไม่เป็นสวัสดิมงคลแก่คนอธรรม” ปัญญาจารย์ 8:12, 13 และเปาโลยืนยันว่าคนบาป “สะสมโทษให้แก่ตัวเอง ในวันที่พระเจ้าทรงพระพิโรธ ซึ่งพระองค์จะทรงสำแดงการพิพากษาที่เที่ยงธรรมให้ประจักษ์ เพราะพระองค์จะประทานแก่ทุกคนตามควรแก่การกระทำของเขา” “ความทุกขเวทนาจะเกิดแก่ทุกคนที่ประพฤติชั่ว” โรม 2:5, 6, 9 {GC 540.3} GCth17 473.6

“ทุกคนที่ล่วงประเวณีหรือที่ทำการโสโครกหรือที่ละโมบ (ซึ่งก็คือคนนับถือรูปเคารพ) จะไม่มีมรดกในแผ่นดินของพระคริสต์และพระเจ้า” เอเฟซัส 5:5 “จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย” ฮีบรู 12:14 “คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเข้าไปในนครนั้นโดยทางประตูได้ ภายนอกเป็นที่ของพวกสุนัข พวกใช้เวทมนตร์ พวกล่วงประเวณี พวกฆาตกร พวกบูชารูปเคารพ และพวกที่รักและประพฤติการหลอกลวงทุกคน” วิวรณ์ 22:14, 15 {GC 541.1} GCth17 474.1

พระเจ้าประทานให้มนุษย์ได้ทราบถึงพระลักษณะของพระองค์ และวิธีการที่พระองค์ทรงจัดการกับบาป “พระยาห์เวห์ พระยาห์เวห์เป็นพระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระกรุณาและพระคุณ พระองค์กริ้วช้า ทรงบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงจนถึงพันๆ ชั่วอายุคน ผู้ประทานอภัยการล่วงละเมิด การทรยศและบาป แต่จะไม่ทรงละเว้นการลงโทษอย่างแน่นอน” อพยพ 34:6, 7 “พระองค์จะทรงทำลายคนอธรรมทุกคน” “แต่ผู้ละเมิดจะถูกทำลายไปด้วยกัน อนาคตของคนอธรรมจะถูกตัดออกไป” สดุดี 145:20; 37:38 กำลังและอำนาจการปกครองของพระเจ้าจะถูกใช้เพื่อปราบการกบฏ แต่กระนั้น การแสดงออกทั้งหมดที่เปิดเผยให้เห็นถึงการลงโทษเพื่อความยุติธรรมนั้นจะสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับพระลักษณะของพระเจ้าที่ว่าพระองค์ทรงพระเมตตา ทรงอดทนนานและโอบอ้อมอารี {GC 541.2} GCth17 474.2

พระเจ้าไม่ทรงเคยบังคับความนึกคิดหรือการตัดสินใจของผู้ใด พระองค์ไม่ทรงชื่นชอบกับการเชื่อฟังด้วยการบังคับ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่พระองค์ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์รักพระองค์เพราะพระองค์สมควรที่จะได้รับความรัก พระองค์ทรงปรารถนาให้เขาทั้งหลายเชื่อฟังพระองค์ เพราะเขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพระปัญญา ความยุติธรรมและความโอบอ้อมอารีของพระองค์ และทุกคนที่มีความคิดที่ถูกต้องในคุณสมบัติเหล่านี้จะรักพระองค์เพราะเขาทั้งหลายถูกชักนำให้เข้ามาหาพระองค์ด้วยความรู้สึกชื่นชอบในพระลักษณะต่างๆ ของพระองค์ {GC 541.3} GCth17 474.3

หลักการต่างๆ แห่งพระเมตตาคุณ ความปรานีและความรักที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนและทรงเป็นแบบอย่างนั้นเป็นหลักฐานบันทึกถึงพระประสงค์และพระลักษณะของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเปิดเผยว่าพระองค์ไม่ทรงสอนเรื่องอื่นใดนอกจากสิ่งที่พระองค์ทรงรับจากพระบิดาของพระองค์ หลักการเรื่องการปกครองของพระเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างบริบูรณ์กับกฎของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า “จงรักศัตรู” พระเจ้าทรงจัดการอย่างยุติธรรมกับคนชั่วเพื่อประโยชน์ของจักรวาลและเพื่อผลประโยชน์แม้กระทั่งสำหรับผู้ที่ได้รับคำพิพากษาของพระองค์ด้วย หากทำได้ พระองค์ทรงประสงค์ที่จะทำให้พวกเขามีความสุขโดยอยู่ภายใต้กฎบัญญัติแห่งการปกครองของพระองค์และความยุติธรรมแห่งพระลักษณะของพระองค์ พระองค์ทรงห้อมล้อมพวกเขาไว้ด้วยของประทานแห่งความรักของพระองค์ พระองค์ประทานความรอบรู้ในธรรมบัญญัติของพระองค์แก่พวกเขาและติดตามพวกเขาไปด้วยข้อเสนอแห่งพระเมตตาของพระองค์ แต่พวกเขากลับดูแคลนความรักของพระองค์ ทำให้ธรรมบัญญัติของพระองค์ไม่เกิดประโยชน์และปฏิเสธพระเมตตาของพระองค์ ในขณะที่พวกเขารับของประทานจากพระองค์อย่างสม่ำเสมอไม่หยุดหย่อน พวกเขากลับหลู่เกียรติพระผู้ประทานทุกอย่างให้ พวกเขาเกลียดชังพระเจ้าเพราะพวกเขาทราบดีว่าพระองค์ทรงเกลียดบาปของพวกเขา พระเจ้าทรงอดทนกับการนอกลู่นอกทางของพวกเขา แต่เวลาแห่งการตัดสินจะมาถึงในที่สุดคือเมื่อชะตากรรมของพวกเขาจะต้องถูกตัดสิน แล้วหลังจากนั้นพระองค์จะทรงเอาโซ่ล่ามกบฏเหล่านี้ไว้ให้อยู่แนบกายของพระองค์หรือ พระองค์จะทรงบังคับพวกเขาให้ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือ {GC 541.4} GCth17 474.4

ผู้ที่เลือกซาตานเป็นผู้นำของพวกเขาและอยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของมันจะไม่พร้อมที่จะเข้าไปอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ความหยิ่งยโส การหลอกลวง ความโสโครก ความโหดเหี้ยมฝังลึกลงไปในอุปนิสัยของพวกเขา พวกเขาจะเข้าไปอาศัยอยู่ในสวรรค์ร่วมกับคนที่พวกเขาเคยดูแคลนและเกลียดชังเมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่ในโลกได้หรือ คนโกหกจะไม่ยอมรับความจริง คนที่ถือตัวและหยิ่งยโสจะไม่พอใจกับการถ่อมตัว คนที่คดโกงจะไม่ชอบเรื่องของความชัดเจน คนที่เห็นแก่ตัวจะมองคนที่รักอย่างไม่เห็นแก่ตัวว่าเป็นคนไม่น่าดึงดูด แล้วสวรรค์จะมอบความสุขให้แก่คนที่ฝักใฝ่ฝ่ายโลกและเห็นแก่ตัวได้อย่างนั้นหรือ {GC 542.1} GCth17 475.1

เป็นไปได้หรือที่คนใช้ชีวิตอยู่อย่างกบฏต่อพระเจ้าจะถูกรับไปอยู่ในสวรรค์ทันทีและมีส่วนร่วมที่จะเห็นสถานภาพอันสูงส่งและบริสุทธิ์ที่มีอยู่มาโดยตลอดในสวรรค์ ซึ่งเป็นสถานที่ที่จิตวิญญาณทุกดวงเปี่ยมด้วยความรัก ใบหน้าทุกคนเปล่งประกายด้วยความสุข เสียงดนตรีไพเราะจับใจลอยขึ้นถวายเกียรติพระเจ้าและพระเมษโปดก และพระสิริอันไม่สิ้นสุดซึ่งส่องจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับบนบัลลังก์มายังผู้ที่ได้รับการไถ่ไว้แล้ว เป็นไปได้หรือที่หัวใจของผู้ที่เต็มล้นด้วยความเกลียดชังพระเจ้า เกลียดชังความจริงและความศักดิ์สิทธิ์จะเข้าร่วมกับชาวสวรรค์และเข้าร่วมร้องเพลงสรรเสริญ พวกเขาจะทนอยู่ในพระสิริของพระเจ้าและพระเมษโปดกได้หรือ ไม่ได้ ไม่ได้แน่นอน เวลาแห่งพระกรุณาธิคุณได้ถูกมอบให้แก่พวกเขา เพื่อพวกเขาจะพัฒนาให้เกิดอุปนิสัยต่างๆ สำหรับสวรรค์ขึ้น แต่พวกเขาไม่เคยฝึกความคิดที่จะรักความบริสุทธิ์ พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ภาษาของชาวสวรรค์ และบัดนี้ก็สายเกินไปแล้ว ชีวิตที่กบฏต่อพระเจ้าทำให้พวกเขาไม่เหมาะสำหรับสวรรค์ ความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์และสันติสุขจะเป็นสิ่งที่ทรมานพวกเขา พระสิริของพระเจ้าจะเป็นดั่งไฟที่เผาผลาญ พวกเขาหวังที่จะหนีไปให้พ้นสถานที่บริสุทธิ์ พวกเขาปรารถนาที่จะต้อนรับการทำลายเพื่อจะซ่อนตัวให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่พวกเขา ชะตากรรมของคนชั่วถูกกำหนดไว้แล้วด้วยการเลือกของพวกเขาเอง การถูกกันออกไปจากสวรรค์ของพวกเขานั้น ส่วนหนึ่งมาจากความสมัครใจของตนเอง และอีกส่วนมาจากพระเจ้าคือความยุติธรรมและพระเมตตากรุณา {GC 542.2} GCth17 475.2

ดั่งน้ำที่ท่วมโลก ไฟในวันยิ่งใหญ่ประกาศคำตัดสินของพระเจ้าว่าคนชั่วรักษาให้หายไม่ได้ พวกเขาไม่มีนิสัยที่จะยอมอยู่ภายใต้อำนาจของพระเจ้า พวกเขาฝึกความตั้งใจให้กบฏและเมื่อชีวิตสิ้นสุดลงก็สายเกินไปที่จะหันแนวคิดให้ไปอยู่ด้านตรงข้าม สายเกินไปที่จะหันออกจากการล่วงละเมิดไปสู่การเชื่อฟัง จากความเกลียดชังไปสู่ความรัก {GC 543.1} GCth17 476.1

เมื่อพระเจ้าทรงละเว้นชีวิตคาอินที่เป็นฆาตกร พระองค์ประทานให้โลกเห็นตัวอย่างของผลที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระองค์ทรงปล่อยให้คนบาปมีชีวิตอยู่ต่อไปในวิถีทางของบาปโดยไม่ถูกควบคุม โดยอิทธิพลการสอนและแบบอย่างชีวิตของคาอิน ลูกหลานมากมายถูกชักนำเข้าไปสู่บาปจน “ความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน” และ “เค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา” “คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มด้วยความโหดร้าย” ปฐมกาล 6:5, 11 {GC 543.2} GCth17 476.2

ด้วยพระเมตตาคุณที่พระเจ้าทรงมีต่อโลก พระองค์จึงทรงกวาดล้างคนชั่วในสมัยของโนอาห์ ด้วยพระเมตตาคุณพระองค์ทรงทำลายผู้อาศัยที่ชั่วในเมืองโสโดม โดยอำนาจการหลอกลวงของซาตาน คนทั้งหลายที่ทำความชั่วได้รับความเห็นใจและความชื่นชม และด้วยเหตุนี้จึงนำให้คนอื่นกบฏอยู่ตลอดเวลา เป็นเช่นนี้ในสมัยของคาอินและในสมัยของโนอาห์ และในสมัยของอับราฮัม และโลท ในสมัยของเราก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย ด้วยเพราะพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่มีต่อจักรวาลนั่นเองที่พระองค์จะทรงทำลายผู้ที่ปฏิเสธพระคุณของพระองค์ในที่สุด {GC 543.3} GCth17 476.3

“ค่าจ้างของบาปคือความตาย แต่ของประทานจากพระเจ้าคือชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” โรม 6:23 ชีวิตเป็นมรดกของคนชอบธรรม ความตายเป็นส่วนแบ่งของคนชั่ว โมเสสเปิดเผยแก่คนอิสราเอลว่า “ข้าพเจ้าได้วางชีวิตและสิ่งดี ความตายและสิ่งร้ายไว้ต่อหน้าท่าน” เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15 ความตายที่พระคัมภีร์กล่าวถึงในข้อนี้ไม่ใช่ความตายที่ประกาศตัดสินให้แก่อาดัม เพราะมนุษยชาติทั้งปวงต้องรับโทษจากการล่วงละเมิด แต่เป็น “ความตายครั้งที่สอง” ที่ถูกนำมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างกับชีวิตนิรันดร์ {GC 544.1} GCth17 477.1

ผลพวงแห่งบาปของอาดัมส่งผลให้ความตายตกทอดไปสู่เผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งหมด ทุกคนลงไปยังหลุมฝังศพเหมือนกัน และด้วยการจัดเตรียมของแผนการแห่งการไถ่ให้รอด ทุกคนจะออกมาจากหลุมศพของตน “ทั้งคนชอบธรรมและคนไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นจากตาย” “เพราะว่า....ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์” กิจการ 24:15 1 โครินธ์ 15:22 แต่มีความแตกต่างระหว่างคนสองกลุ่มที่ออกมาจากหลุมศพ “ทุกคนที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของพระบุตร และจะก้าวออกมา คนที่ประพฤติดีก็ขึ้นมาสู่ชีวิต คนที่ประพฤติชั่วก็เป็นขึ้นมาสู่การพิพากษา” ยอห์น 5:28, 29 ผู้ที่ “สมควร” แก่การฟื้นขึ้นสู่ชีวิตจะ “เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือเขาทั้งหลาย” วิวรณ์ 20:6 แต่ผู้ที่ไม่ได้รับการอภัยผ่านทางการกลับใจและความเชื่อจะต้องรับโทษของการล่วงละเมิด นี่เป็น “ค่าจ้างของบาป” พวกเขารับโทษทนทุกข์ทรมานด้วยระยะเวลาและความรุนแรงที่แตกต่างกัน “ตามการกระทำของเขา” แต่ในที่สุดจะจบลงด้วยความตายครั้งที่สอง เนื่องจากว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความยุติธรรมและพระเมตตาคุณจะทรงช่วยคนบาปที่ยังคงทำบาปอยู่ให้รอด พระองค์จึงทรงเพิกถอนสิทธิของการมีชีวิตอยู่ของพวกเขา ซึ่งการล่วงละเมิดของพวกเขาทำให้สูญเสียการมีชีวิตอยู่นี้ไปและพวกเขาเองก็พิสูจน์ว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะได้รับการมีชีวิตอยู่ นักเขียนที่ได้รับการดลใจบันทึกไว้ว่า “ยังอีกหน่อยหนึ่ง คนอธรรมจะไม่มีอีก แม้จะมองดูที่ของเขาให้ดี เขาก็ไม่ได้อยู่ที่นั่น” ส่วนอีกท่านหนึ่งเปิดเผยว่า พวกเขา “จะเป็นอย่างที่ไม่เคยเป็น” สดุดี 37:10 โอบาดีห์ 16 ความเสื่อมเสียห่อหุ้มพวกเขาไว้ พวกเขาจึงจมลงสู่ความสิ้นหวัง หายสาบสูญไปตลอดกาล {GC 544.2} GCth17 477.2

บทอวสานของบาปจะจบลงเช่นนี้พร้อมกับความทุกข์และความหายนะทั้งหมดที่เป็นผลงานของบาป ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวไว้ว่า “พระองค์ได้ทรงตำหนิบรรดาประชาชาติ และทรงทำลายคนอธรรม แล้วทรงลบชื่อของพวกเขาออกไปเป็นนิตย์นิรันดร์ ศัตรูได้ถึงจุดจบในความพินาศตลอดกาล ส่วนเมืองทั้งหลายของเขา พระองค์ก็ทรงถอนรากถอนโคน และอนุสรณ์ของพวกเขาก็สูญไป” สดุดี 9:5, 6 ในพระธรรมวิวรณ์ ยอห์นมองไปข้างหน้ายังสภาพนิรันดร์กาล เขาได้ยินเพลงสรรเสริญที่ขับร้องโดยคนทั้งจักรวาลโดยไม่มีแม้เสียงโน้ตตัวหนึ่งที่ผิดเพี้ยนมารบกวน สิ่งมีชีวิตทั้งในสวรรค์และในโลกต่างส่งเสียงเยินยอพระสิริของพระเจ้า วิวรณ์ 5:13 ในขณะนั้นจะไม่มีเหล่าจิตวิญญาณที่พินาศกล่าวคำหลู่เกียรติพระเจ้าในขณะที่พวกเขาทุรนทุรายในนรกด้วยความทรมานที่ไม่รู้จักสิ้นสุด ไม่มีเหล่าผู้เคราะห์ร้ายในนรกที่จะคอยส่งเสียงโหยหวนออกมาปะปนกับเสียงเพลงของบรรดาผู้ที่ได้รับความรอด {GC 545.1} GCth17 478.1

หลักคำสอนเรื่องคนตายมีความนึกคิดมีพื้นฐานที่ผิดมาจากเรื่องธรรมชาติของความเป็นอมตะ ซึ่งเป็นหลักคำสอนเรื่องการทรมานชั่วนิรันดร์คือขัดแย้งกับคำสอนของพระคัมภีร์ทั้งด้วยเหตุและผล และขัดแย้งกับความรู้สึกของมนุษย์ ตามความเชื่อที่นิยมอย่างแพร่หลายนี้ ผู้ที่รอดในสวรรค์จะยังคุ้นเคยกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในโลกและโดยเฉพาะกับชีวิตของมิตรสหายที่เขาจากมา แต่คนตายจะมีความสุขได้อย่างไรเมื่อเขารู้ถึงความทุกข์ของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ มองเห็นคนที่เขารักทำบาปและมองเห็นพวกเขาต้องทนอยู่ในความทุกข์ยาก ความผิดหวัง และความปวดร้าวของชีวิต ผู้ที่ต้องวนเวียนอยู่กับมิตรสหายในโลกเช่นนี้จะเพลิดเพลินใจอยู่กับความสุขสำราญของสวรรค์ได้มากน้อยเพียงไร และเป็นเรื่องที่น่าขยะแขยงเพียงไรที่เชื่อว่า ในทันทีที่ลมหายใจออกจากร่าง วิญญาณของผู้ที่ไม่ได้กลับใจในบาปจะถูกส่งไปอยู่ในเปลวเพลิงนรก เขาจะต้องจมดิ่งลงไปในความระทมใจมากน้อยเพียงไรเมื่อมองดูมิตรสหายที่ไม่ได้เตรียมตัวและต้องก้าวลงสู่หลุมศพเพื่อเข้าไปอยู่ในความทุกข์และความบาปชั่วนิรันดร์ มีคนมากมายเสียสติไปเนื่องจากแนวคิดอันน่ากลัวเช่นนี้ {GC 545.2} GCth17 478.2

พระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องเหล่านี้อย่างไร กษัตริย์ดาวิดเปิดเผยว่าเมื่อมนุษย์ตายแล้วเขาจะไม่รู้สึกตัว “เมื่อลมหายใจของเขาพรากไป เขาก็กลับเป็นดิน ในวันเดียวกันนั้นความคิดของเขาก็สูญสิ้นไป” สดุดี 146:4 กษัตริย์ซาโลมอนก็เป็นพยานในทำนองเดียวกันว่า “เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย” “ทั้งความรักของพวกเขาและความชัง พร้อมกับความอิจฉาของพวกเขาได้สูญไปนานแล้ว และเขาทั้งหลายจะไม่มีส่วนในสิ่งใดที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์อีกต่อไป” “ในแดนคนตายที่เจ้าจะไปนั้นไม่มีการงาน หรือความคิด หรือความรู้ หรือสติปัญญา” ปัญญาจารย์ 9:5, 6, 10 {GC 545.3} GCth17 478.3

เมื่อคำอธิษฐานทูลขอของกษัตริย์เฮเซคียาห์ได้รับคำตอบแล้วว่า พระองค์จะทรงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีก 15 ปี กษัตริย์ผู้ทรงซาบซึ้งในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ทรงถวายคำสรรเสริญโมทนาคุณพระเจ้า ในบทเพลงนี้ พระองค์ตรัสถึงเหตุผลของความชื่นชมยินดีว่า “เพราะแดนคนตายขอบพระคุณพระองค์ไม่ได้ ความมรณาก็สรรเสริญพระองค์ไม่ได้ บรรดาคนที่ลงไปยังหลุมนั้น จะหวังในความซื่อสัตย์ของพระองค์ไม่ได้ คนมีชีวิต คนมีชีวิต เขาขอบพระคุณพระองค์เหมือนอย่างที่ข้าพระองค์ทำอยู่ในเวลานี้” อิสยาห์ 38:18, 19 ศาสนศาสตร์ที่คนนิยมทั่วไปได้แสดงให้เห็นว่าคนชอบธรรมที่ตายแล้วอยู่ในสวรรค์อย่างมีความสุขสำราญและร้องสรรเสริญพระเจ้าด้วยลิ้นอมตะ แต่กษัตริย์เฮเซคียาห์ไม่ได้มองเห็นภาพของความตายว่ามีความงามสง่าเช่นนี้ พระดำรัสของพระองค์นั้นตรงกันกับคำพยานที่ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวไว้ว่า “ในความตายไม่มีการระลึกถึงพระองค์ ในแดนคนตาย ใครเล่าจะยกย่องพระองค์” “คนตายไม่สรรเสริญพระยาห์เวห์ และทุกคนที่ลงไปสู่ที่สงัดก็เช่นกัน” สดุดี 6:5; 115:17 {GC 546.1} GCth17 479.1

ในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรประกาศว่าบรรพชนดาวิด “ตายแล้วและถูกฝังไว้แล้ว และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้” “เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปยังสวรรค์” กิจการ 2:29, 34 ความจริงที่ว่าดาวิดยังคงอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจนกว่าจะถึงวันที่กลับเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า เมื่อคนชอบธรรมตาย เขาไม่ได้ไปสวรรค์ โดยการเป็นขึ้นจากความตายและโดยทางพระคุณความดีของความจริงที่ว่าพระคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเท่านั้นแล้ว ที่ในที่สุดดาวิดจะไปนั่งอยู่ด้านขวามือของพระเจ้า {GC 546.2} GCth17 479.2

เปาโลกล่าวว่า “เพราะว่าถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมา พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน และถ้าอย่างนั้นคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย” 1โครินธ์15:16-18 หากว่าในช่วงเวลา 4,000 ปีนี้ คนชอบธรรมมุ่งตรงไปยังสวรรค์เมื่อพวกเขาตาย เปาโลจะพูดได้อย่างไรว่าหากไม่มีการเป็นขึ้นจากตายแล้ว “คนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย” ไม่จำเป็นต้องมีการเป็นขึ้นจากตาย {GC 546.3} GCth17 479.3

เมื่อทินเดลผู้พลีชีพเพื่อความเชื่ออ้างถึงสภาพของความตายได้เปิดเผยไว้ว่า “ข้าพเจ้าสารภาพอย่างเปิดเผยว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าคนที่ตายแล้วได้รับสง่าราศีบริบูรณ์ดังเช่นที่พระคริสต์ได้รับ หรือมีสภาพเหมือนทูตสวรรค์ของพระเจ้า เรื่องดังกล่าวไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของความเชื่อของข้าพเจ้าเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง ข้าพเจ้ามองไม่เห็นสิ่งอื่นใดเว้นเสียแต่ว่าคำเทศนาเรื่องเนื้อหนังกลับมีชีวิตเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์” William Tyndale, Preface of New Testament (ed. 1534). Reprinted in British Reformers-Tindale, Firth, Barnes หน้า 349 {GC 547.1} GCth17 480.1

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความหวังใจในเรื่องคนตายจะมีความสุขอันเป็นอมตะ ทำให้คนมากมายละเลยหลักคำสอนเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายในพระคัมภีร์ แนวโน้มในเรื่องนี้ ดร. อาดัม คลาร์ค [Adam Clarke] เคยกล่าวไว้ว่า “หลักคำสอนเรื่องการเป็นขึ้นจากความตายดูจะมีผลต่อความคิดของคริสเตียนยุคแรกเริ่มมากกว่าในยุคปัจจุบัน เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร บรรดาอัครทูตเฝ้าสอนอย่างต่อเนื่องและกระตุ้นผู้ติดตามของพระเจ้าให้ขยัน เชื่อฟังและชื่นชมยินดีกับเรื่องนี้ ขณะเดียวกันผู้สืบทอดในยุคปัจจุบันแทบจะไม่กล่าวถึงเรื่องนี้เลย ด้วยเหตุฉะนี้ อัครทูตทั้งหลายจึงเทศนาสั่งสอนและคริสเตียนในยุคแรกเชื่อ ดังนั้น พวกเราเทศนาและผู้ฟังของเราก็เชื่อ ไม่มีหลักคำสอนใดของพระกิตติคุณที่มีการเน้นมากเป็นพิเศษกว่านี้และไม่มีหลักคำสอนใดในระบบการเทศนาของปัจจุบันที่ถูกละเลยไปมากกว่านี้” Commentary, remarks on 1 Corinthians 15 ย่อหน้าที่ 3 {GC 547.2} GCth17 480.2

เรื่องนี้ดำเนินไปจนกระทั่งความจริงอันงดงามของการเป็นขึ้นจากตายถูกบดบังไปจนเกือบหมดและหายไปจากโลกของคริสเตียน ด้วยเหตุนี้ นักเขียนแนวหน้าทางด้านศาสนาได้อภิปรายข้อความของเปาโลใน 1 เธสะโลนิกา 4:13-18 ว่า “เพื่อให้ง่ายต่อการเล้าโลมใจ หลักคำสอนเรื่องชีวิตอมตะอันมีสุขของผู้ชอบธรรมจะเข้าแทนที่หลักคำสอนที่น่าสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้า เมื่อเราตาย พระเจ้าเสด็จมารับเรา นั่นเป็นสิ่งที่เรารอคอยและต้องการ คนตายเข้าไปสู่สง่าราศีแล้ว พวกเขาไม่ต้องรอคอยเสียงแตรเพื่อการพิพากษาและเพื่อความสุขของเขา” {GC 547.3} GCth17 480.3

แต่เมื่อพระเยซูกำลังจะเสด็จไปจากสาวกทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตรัสบอกว่า พวกเขาจะมาหาพระองค์ในเร็ววัน พระองค์ตรัสว่า “เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกท่าน เมื่อเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกและรับท่านไปอยู่กับเรา” ยอห์น 14:2, 3 และเปาโลบอกเราอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยเสียงเรียกของหัวหน้าทูตสวรรค์และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์จะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นพระเจ้าจะทรงรับพวกเราซึ่งยังมีชีวิตอยู่ขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละ เราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์” และเปาโลยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เพราะฉะนั้น จงหนุนใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด” 1 เธสะโลนิกา 4: 16-18 คำเล้าโลมใจนี้และคำสอนของอาจารย์ที่เชื่อเรื่องความรอดครอบจักรวาลที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้นช่างตรงกันข้ามเหลือเกิน คนกลุ่มหลังปลอบใจมิตรสหายที่สูญเสียเพื่อนเนื่องจากความตายโดยคำเล้าโลมใจว่า ไม่ว่าคนตายจะมีบาปหนาเพียงไรเมื่อเขาหายใจเฮือกสุดท้ายในโลกนี้ เขาจะได้รับการต้อนรับท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ เปาโลยังเน้นให้พี่น้องมองไปยังภายภาคหน้าของการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อโซ่ตรวนของหลุมศพจะขาดและ “ทุกคนที่ตายแล้วในพระคริสต์” จะเป็นขึ้นมาสู่ชีวิตนิรันดร์ {GC 548.1} GCth17 481.1

ก่อนที่คนใดจะเข้าไปยังปราสาทแห่งความสุข ชีวิตของเขาจะต้องผ่านการพิจารณาเสียก่อน อุปนิสัยและการกระทำของเขาจะต้องผ่านการตรวจสอบต่อเบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า ทุกคนจะถูกพิพากษาตามที่บันทึกไว้ในหนังสือและจะได้ผลตอบแทนตามการงานที่เขากระทำ การพิพากษานี้ไม่ได้มีขึ้นเมื่อคนๆ นั้นตาย สังเกตคำพูดของเปาโลที่ว่า “พระองค์ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้แล้ว ในวันนั้นพระองค์จะทรงพิพากษาโลกตามความชอบธรรมโดยบุคคลที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และพระเจ้าทรงให้คนทั้งปวงมีความมั่นใจในเรื่องนี้โดยทรงให้บุคคลผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย” กิจการ 17:31 ในที่นี้ อัครทูตบอกไว้อย่างชัดเจนถึงเวลาที่แน่นอนของอนาคตที่ถูกกำหนดไว้เพื่อพิพากษาโลก {GC 548.2} GCth17 481.2

หนังสือยูดาเขียนถึงช่วงเวลาเดียวกันนี้ว่า “พวกทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาอำนาจครอบครองของตนเอง แต่ละทิ้งถิ่นฐานของตน พระองค์ก็ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลายในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่นั้น” และยูดายังอ้างถึงคำพูดของเอโนคว่า “นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์นับเป็นหมื่นๆ เพื่อทำการพิพากษาทุกคน” ยูดา 6, 14, 15 ยอห์นเปิดเผยว่า เขา “เห็นบรรดาคนตายทั้งคนใหญ่โตและคนเล็กน้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น แล้วหนังสือต่างๆ ก็ถูกเปิดออก และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ถูกเปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต คนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของเขาทั้งหลายที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น” วิวรณ์ 20:12 {GC 548.3} GCth17 481.3

แต่หากคนตายมีความสุขในแดนแห่งความสำราญของสวรรค์หรือบิดตัวด้วยความเจ็บปวดในเปลวเพลิงของนรกอยู่แล้ว จะยังมีความจำเป็นที่ต้องมีการพิพากษาในอนาคตอีกหรือ คำสอนทั้งหลายในพระคำของพระเจ้าในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญเหล่านี้ไม่คลุมเครือและไม่ขัดแย้งกัน เรื่องอย่างนี้สมองธรรมดาของคนคนทั่วไปเข้าใจได้ แต่ความคิดที่ปราศจากอคติจะมองเห็นปัญญาหรือความยุติธรรมในทฤษฎีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร เมื่อคนชอบธรรมถูกสอบสวนและพิพากษา จะได้รับคำชมเชยได้อย่างไรว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์….จงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด” ในเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์มาเป็นเวลานานแล้ว คนชั่วจะได้รับหมายเรียกสั่งให้ออกมาจากสถานที่ทรมานเพื่อรับคำตัดสินจากพระผู้ทรงพิพากษาโลกว่า “จงถอยไปจากเราและเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นนิตย์” เช่นนั้นหรือ มัทธิว 25:21, 41 โอ ช่างเป็นการหลอกลวงที่น่าขนลุกยิ่งนัก เป็นการกล่าวหาพระปัญญาและความยุติธรรมของพระเจ้าอย่างน่าละอาย {GC 549.1} GCth17 482.1

ทฤษฏีเรื่องวิญญาณอมตะเป็นหลักคำสอนเทียมเท็จหนึ่งของโรมที่หยิบยืมมาจากลัทธินอกศาสนา และผสมผสานเข้าไปในศาสนาของชาวคริสเตียน มาร์ติน ลูเธอร์ จัดเรื่องนี้ให้ไปอยู่ใน “นิยายประหลาดที่เป็นหนึ่งในกองมูลฝอยคำสั่งของโรม” E. Petavel, The Problem of Immortality หน้า 255 นักปฏิรูปศาสนาท่านนี้ [มาร์ติน ลูเธอร์] แสดงความคิดเห็นต่อคำพูดของซาโลมอนในพระธรรมปัญญาจารย์ที่กล่าวถึงคนตายไม่รู้อะไรเลยว่า “เป็นอีกแหล่งที่พิสูจน์ให้เราทราบว่า คนตายไม่มี…..ความรู้สึก ท่านบอกไว้ว่า ไม่มีหน้าที่การงาน ไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญาที่นั่น ซาโลมอนลงความเห็นว่าคนตายนอนหลับและไม่มีความรู้สึกใดเลย เพราะคนตายนอนอยู่ที่นั่น ไม่รู้จำนวนวันหรือปี แต่เมื่อเขาเป็นขึ้นมาจากตายเขาจะรู้สึกว่าได้นอนหลับไปไม่ถึงหนึ่งนาที” Martin Luther, Exposition of Solomon’s Booke Called Ecclesiastes หน้า 152 {GC 549.2} GCth17 482.2

ไม่มีข้อความใดในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ที่บอกเราว่าเมื่อคนชอบธรรมตายไปเขาจะไปรับรางวัล หรือเมื่อคนชั่วตายไปเขาจะต้องไปรับการลงโทษ เหล่าบรรพชนและผู้เผยพระวจนะทั้งหลายไม่ได้ยืนยันเช่นนั้น พระคริสต์และสาวกของพระองค์ก็ไม่ได้ชี้แนะไว้เช่นนั้น พระคัมภีร์สอนไว้อย่างชัดเจนว่าคนตายไม่ได้ไปสวรรค์ทันที แต่บอกไว้ว่า พวกเขายังนอนหลับอยู่จนถึงวันที่เป็นขึ้นจากตาย 1 เธสะโลนิกา 4:14 โยบ 14:10-12 ในวันนั้นเมื่อสายเงินขาดและชามทองคำบุบสลาย (ปัญญาจารย์ 12:6) ความคิดของมนุษย์ก็พินาศไป คนที่ลงไปยังหลุมศพจะหยุดเงียบไป พวกเขาจะไม่ทราบถึงสิ่งใดที่เกิดขึ้นภายใต้ดวงอาทิตย์ โยบ 14:21 ผู้ชอบธรรมที่เมื่อยล้าได้รับการพักผ่อนอย่างมีสุข ไม่ว่าเวลานั้นจะยาวนานหรือสั้นก็จะเป็นเพียงชั่วครู่สำหรับพวกเขา พวกเขานอนหลับและถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยเสียงแตรของพระเจ้าเพื่อเข้าสู่ชีวิตอมตะอันเปล่งรัศมีเจิดจ้า “เพราะว่าจะมีการเป่าแตร และพวกที่ตายแล้วจะถูกทำให้เป็นขึ้นโดยปราศจากความเสื่อมสลาย แล้วเราจะถูกเปลี่ยนใหม่ เพราะว่าสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้ต้องสวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้ และสภาพที่ต้องตายนี้ต้องสวมด้วยสภาที่ไม่ตาย เมื่อสิ่งที่เสื่อมสลายได้นี้สวมด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายไม่ได้และสภาพที่ต้องตายนี้สวมด้วยสภาพที่ไม่ตาย เมื่อนั้นพระวจนะที่เขียนไว้จะสำเร็จว่า ความตายก็ถูกกลืนเข้าในชัยชนะแล้ว” 1 โครินธ์ 15:52-54 ในขณะที่พวกเขาตื่นขึ้นจากการนอนหลับอย่างสบายนั้น พวกเขาจะเริ่มคิดว่าหยุดงานไปเมื่อใด ความรู้สึกสุดท้ายของเขาคือความเจ็บปวดของความตาย ความคิดสุดท้ายของพวกเขาคือเมื่อกำลังจะตกเข้าไปอยู่ใต้อำนาจของหลุมศพ เมื่อพวกเขาลุกขึ้นจากหลุมแห่งความตาย ความคิดชื่นชมอันดับแรกจะเป็นเสียงดังกังวานที่จะร้องขึ้นอย่างมีชัยว่า “โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ ความตาย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน” 1 โครินธ์ 15:55 {GC 549.3} GCth17 482.3

*****