สงครามครั้งยิ่งใหญ่

30/45

บท 27 - การฟื้นฟูยุคใหม่

ไม่ว่าที่ใดก็ตามเมื่อมีการเทศนาพระวจนะของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ ผลที่ตามมาจะประจักษ์เป็นพยานว่าคำเทศนาเหล่านั้นมีแหล่งกำเนิดจากพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ร่วมกับบทเทศน์ของผู้รับใช้ของพระองค์ และคำเทศนานั้นจึงประกอบด้วยอำนาจ ปลุกจิตสำนึกของคนบาปให้ตื่นขึ้น “ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้นั้นกำลังเข้ามาในโลก” ยอห์น 1:9 ความสว่างนี้ส่องเข้าไปในที่ลี้ลับของจิตวิญญาณและเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในความมืดออกมา ความสำนึกอย่างลึกซึ้งเกิดขึ้นในความคิดและจิตใจของเขาทั้งหลาย พวกเขารู้สึกสำนึกถึงความผิดบาป ความชอบธรรมและการพิพากษาที่กำลังจะมาถึง พวกเขารู้สึกถึงความชอบธรรมของพระยาห์เวห์และตระหนักถึงความน่ากลัวที่ต้องปรากฏตัวต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าผู้ทรงตรวจสอบจิตใจในขณะที่เขายังคงมีความผิดและความไม่บริสุทธิ์ ด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวพวกเขาร้องว่า “ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้” โรม 7:24 เมื่อกางเขนแห่งคาลวารีพร้อมด้วยเครื่องบูชาอันไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อบาปของมนุษย์ได้ถูกเปิดเผยให้เห็น พวกเขามองไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากพระคุณอันประเสริฐของพระคริสต์ที่เพียงพอเพื่อลบมลทินบาปแห่งการล่วงละเมิดของพวกเขา นี่เป็นวิธีเดียวที่จะนำมนุษย์ให้กลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ด้วยความเชื่อและความถ่อมตนพวกเขาจะต้องยอมรับพระเมษโปดกของพระเจ้าผู้ทรงรับบาปของโลกไป พวกเขาได้รับการ “ทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้ว” ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซู โรม 3:25 {GC 461.1} GCth17 398.1

จิตวิญญาณเหล่านี้พิสูจน์การกลับใจด้วยการเกิดผล พวกเขาเชื่อและรับบัพติศมาและลุกขึ้นดำเนินไปตามชีวิตใหม่ เป็นคนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ประพฤติตามราคะตัณหาของกาลก่อน แต่ดำเนินตามรอยพระบาทของพระบุตรของพระเจ้าโดยเชื่อในพระองค์ เพื่อสะท้อนพระลักษณะของพระองค์และชำระตนให้บริสุทธิ์ดังที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ สิ่งที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเกลียดชัง บัดนี้พวกเขารัก และสิ่งที่เคยรัก บัดนี้พวกเขารังเกียจ ผู้ที่หยิ่งยโสและอวดดี บัดนี้เป็นคนอ่อนสุภาพและมีใจอ่อนน้อม คนไร้สาระและทะนงตนกลายเป็นคนเอาจริงเอาจังและสงบเสงี่ยม คนหมิ่นประมาทกลายเป็นคนที่ยำเกรง คนขี้เมากลายเป็นคนสุขุมเยือกเย็น และคนผิดศีลธรรมกลับกลายเป็นคนบริสุทธิ์ สิ่งไร้สาระที่นิยมกันตามอย่างโลกถูกทิ้งไป คริสเตียนจะไม่แสวงหา “การประดับตัวแต่ภายนอกด้วยการถักผม การสวมใส่เครื่องทองคำหรือการนุ่งห่มเสื้อผ้า แต่จงประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลายคือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งในสายพระเนตรพระเจ้า” 1 เปโตร 3:3, 4 {GC 461.2} GCth17 398.2

การฟื้นฟูนำมาซึ่งการตรวจสอบหัวใจอย่างลึกซึ้งและการถ่อมตน การฟื้นฟูจะแสดงคุณลักษณะของการเรียกร้องคนบาปอย่างเคร่งขรึมจริงใจ และมีความเห็นอกเห็นใจอย่างแรงกล้าต่อผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ บรรดาชายและหญิงต่างอธิษฐานและปล้ำสู้กับพระเจ้าเพื่อความรอดของจิตวิญญาณทั้งหลาย ผลของการฟื้นฟูเช่นนี้จะเห็นได้ในจิตวิญญาณที่ไม่ถอยหนีจากการปฏิเสธตนเองและการอุทิศถวายตัว แต่ชื่นชมยินดีที่พวกเขาถูกนับว่าเป็นผู้ที่คู่ควรที่จะได้รับการตำหนิและการทดลองเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ มนุษย์มองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้ที่รับพระนามของพระเยซู ชุมชนได้ประโยชน์จากอิทธิพลของพวกเขา พวกเขาทำงานร่วมกับพระคริสต์ และหว่านร่วมกับพระวิญญาณเพื่อเก็บเกี่ยวชีวิตนิรันดร์ {GC 462.1} GCth17 399.1

คนเหล่านี้อาจจะถูกกล่าวถึงได้ว่า เป็น “เพราะความเสียใจนั้นทำให้ท่านกลับใจ” “เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าทำให้เกิดการกลับใจซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย จงดูสิว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าเช่นนี้ นำไปสู่การเอาจริงเอาจังเพียงไร และยังทำให้เกิดการขวนขวายที่จะพิสูจน์ตัวเอง เกิดความขุ่นเคือง ความตื่นตัว ความอาลัย ความกระตือรือร้น และเกิดการลงโทษ พวกท่านพิสูจน์ตัวเองในทุกด้านแล้วว่าเป็นผู้ปราศจากความผิดในเรื่องนี้” 2 โครินธ์ 7:9-11 {GC 462.2} GCth17 399.2

นี่คือผลการประกอบกิจของพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่ามีการกลับใจอย่างแท้จริงยกเว้นว่าจะเห็นผลของการปฏิรูป หากเขาคืนของประกัน คืนสิ่งที่ขโมยผู้อื่นมา สารภาพบาปและรักพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเขาแล้ว จึงจะมั่นใจว่าคนบาปนั้นพบสันติสุขกับพระเจ้า นี่คือผลที่เกิดขึ้นในอดีตหลังจากที่มีการตื่นตัวทางศาสนา เมื่อดูจากผลของพวกเขาแล้ว จะเห็นว่าพวกเขาได้รับพระพรของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดและยกระดับมนุษยชาติ {GC 462.3} GCth17 399.3

แต่การฟื้นฟูมากมายในยุคใหม่แตกต่างอย่างเด่นชัดจากการฟื้นฟูที่เป็นผลจากพระคุณของพระเจ้า การฟื้นฟูในยุคแรกจะเกิดขึ้นหลังจากผู้รับใช้ของพระเจ้าลงแรงทำงาน จริงอยู่ การฟื้นฟูจุดประกายความสนใจขึ้นอย่างแพร่หลาย มีหลายคนกลับใจและคนจำนวนมากเข้าร่วมกับคริสตจักร แต่ถึงกระนั้น ผลที่ได้รับไม่ได้ยืนยันดังที่เชื่อกันว่าชีวิตที่แท้จริงทางฝ่ายจิตวิญญาณเติบโตควบคู่กันไปด้วย แสงสว่างที่ลุกโชนขึ้นมาชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ช้าก็ดับไป ปล่อยให้ความมืดนั้นหนาทึบยิ่งกว่าเดิม {GC 463.1} GCth17 400.1

บ่อยครั้งการฟื้นฟูตามที่นิยมทำกันนั้นมักอาศัยการสร้างจิตนาการ ด้วยการปลุกเร้าอารมณ์ โดยสนองความเพลิดเพลินที่มีต่อสิ่งใหม่ๆ และน่าตื่นเต้น คนที่กลับใจด้วยวิธีนี้แทบจะไม่มีความปรารถนาที่ฟังความจริงในพระคัมภีร์ ใส่ใจแต่เพียงเล็กน้อยกับเรื่องคำพยานของผู้เผยพระวจนะและของอัครทูต พิธีการทางศาสนาดึงดูดความสนใจของพวกเขาไม่ได้ นอกเสียจากว่าพิธีกรรมนั้นจะมีสิ่งเร้าอารมณ์ ข่าวสารที่อ้อนวอนสติอันไร้อารมณ์ก็ไม่อาจปลุกให้เกิดการตอบสนอง พวกเขาไม่ใส่ใจคำเตือนอย่างตรงไปตรงมาของพระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ทางฝ่ายนิรันดร์ของพวกเขา {GC 463.2} GCth17 400.2

สำหรับจิตวิญญาณของทุกคนที่กลับใจอย่างแท้จริงแล้ว ความสัมพันธ์ของเขาที่มีต่อพระเจ้าและต่อสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิรันดร์กาลจะเป็นเรื่องสำคัญในชีวิต แต่ในคริสตจักรที่นิยมกันในทุกวันนี้ จิตวิญญาณแห่งการถวายตนให้พระเจ้าอยู่ที่ไหน บรรดาผู้ที่กลับใจแล้วไม่ได้ละทิ้งความหยิ่งและความรักที่มีให้กับโลก พวกเขาไม่ยินดีที่จะปฏิเสธตนเองเพื่อแบกกางเขน และติดตามพระเยซูผู้ทรงอ่อนสุภาพและถ่อมตนมากไปกว่าก่อนที่เขาจะกลับใจ ศาสนากลายเป็นของเล่นสนุกสำหรับคนไม่เชื่อพระเจ้าและคนช่างสงสัยเพราะคนมากมายที่รับว่าตนเองเป็นคริสเตียนขาดความรู้เรื่องหลักการทางศาสนา อำนาจฝ่ายศีลธรรมอย่างพระเจ้าแทบจะหายไปจากคริสตจักรจำนวนมาก การเลี้ยงสังสรรค์ การแสดงละครในโบสถ์ งานรื่นเริงเทศกาลในโบสถ์ บ้านช่องหรูหรา การอวดตน สิ่งเหล่านี้ทำลายความคิดเรื่องพระเจ้าไปจนหมดสิ้น ที่ดินและทรัพย์สินและการงานทางฝ่ายโลกครอบงำความคิดและแทบจะไม่เหลียวมองเรื่องของผลประโยชน์ทางฝ่ายนิรันดร์ {GC 463.3} GCth17 400.3

ถึงแม้ความเชื่อและความเคร่งครัดในศาสนาจะเสื่อมทรามลงอย่างแพร่หลาย แต่ก็ยังมีผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระคริสต์อยู่ในคริสตจักรเหล่านี้ ก่อนที่การพิพากษาสุดท้ายของพระเจ้าจะมาถึงโลก จะมีการฟื้นฟูจิตวิญญาณแบบดั้งเดิมขึ้นในประชากรขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างที่ไม่มีผู้ใดเคยเห็นนับตั้งแต่สมัยของอัครทูต พระวิญญาณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าจะหลั่งลงมายังเหล่าบุตรของพระองค์ ในเวลานั้น คนมากมายจะแยกตนเองออกจากคริสตจักรต่างๆ ที่ยอมให้ความรักของโลกนี้เข้ามาแทนที่ความรักของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ คนมากมายทั้งบรรดาอาจารย์และประชาชนจะยินดีรับความจริงยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงใช้ให้ประกาศในเวลานี้เพื่อเตรียมผู้คนให้พร้อมสำหรับการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระผู้เป็นเจ้า ศัตรูของจิตวิญญาณประสงค์ที่จะขัดขวางงานนี้ และก่อนที่เวลาของการเคลื่อนไหวเช่นนี้จะมาถึง มันจะพยายามขัดขวางโดยนำสิ่งเทียมเท็จเข้ามา ในบรรดาคริสตจักรที่มันนำมาให้อยู่ภายใต้อำนาจการหลอกลวงของมันได้ มันจะทำให้ดูประหนึ่งว่าพระพรพิเศษของพระเจ้าหลั่งลงมาแล้ว จะมีการสำแดงที่ทำให้คิดว่าเป็นความสนใจยิ่งใหญ่ในศาสนา ประชาชนมากมายจะปีติยินดีว่าพระเจ้าทรงประกอบกิจอัศจรรย์เพื่อเขา ซึ่งความจริงแล้วเป็นผลงานของอีกวิญญาณหนึ่ง ซาตานคอยหาทางที่จะแผ่อิทธิพลของมันเหนือโลกคริสเตียนโดยการอำพรางตัวเองไว้ภายใต้ศาสนา {GC 464.1} GCth17 401.1

ในการฟื้นฟูมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่แล้ว อิทธิพลเดียวกันนี้ยังคงกระทำการอยู่ไม่มากก็น้อยซึ่งจะแสดงออกมาให้เห็นในการเคลื่อนไหวที่กว้างขวางมากขึ้นในอนาคต จะมีการกระตุ้นเพื่อเร้าความรู้สึกทางอารมณ์ ผสมผสานความถูกต้องเข้ากับความเท็จซึ่งปรับไว้อย่างดีเพื่อนำให้หลง แต่ไม่มีผู้ใดจะต้องถูกหลอก ภายใต้แสงสว่างของพระวจนะพระเจ้านั้นการจะตัดสินธรรมชาติของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ว่าที่ใดเมื่อมนุษย์ละเลยคำพยานในพระคัมภีร์ หันหลังให้กับความจริงอันตรงไปตรงมาและตรวจสอบจิตใจ ความจริงที่เรียกร้องให้ปฏิเสธตนเองและละทิ้งโลก เมื่อนั้นเราจะมั่นใจได้ว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานพระพรให้พวกเขา และด้วยกฎเกณฑ์ที่พระคริสต์เองประทานไว้ว่า “พวกท่านจะรู้จักพวกเขาได้ด้วยผลของพวกเขา” มัทธิว 7:16 เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำของพระวิญญาณของพระเจ้า {GC 464.2} GCth17 401.2

ในความจริงต่างๆ ของพระวจนะพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดเผยเรื่องราวของพระองค์เองให้แก่มนุษย์ และทุกคนที่ยอมรับความจริงเหล่านี้จะได้รับการปกป้องจากการหลอกลวงของซาตาน การละเลยความจริงเหล่านี้เปิดประตูให้กับความชั่วซึ่งบัดนี้แพร่กระจายไปทั่วโลกศาสนา ลักษณะและความสำคัญของธรรมบัญญัติของพระเจ้าถูกมองข้ามไปค่อนข้างมาก การมีมุมมองที่ผิดในเรื่องคุณลักษณะ ความเป็นนิรันดร์กาลและข้อผูกพันของธรรมบัญญัติของพระเจ้านำไปสู่ความเชื่อผิดๆ ที่เกี่ยวพันกับการกลับใจและการชำระให้บริสุทธิ์และส่งผลให้มาตรฐานความเคร่งครัดในคริสตจักรตกต่ำลง เคล็ดลับของการขาดพระวิญญาณและฤทธิ์เดชของพระเจ้าในการฟื้นฟูในยุคของเราอยู่ตรงจุดนี้เอง {GC 465.1} GCth17 402.1

คนมีชื่อเสียงโด่งดังและเคร่งศาสนาในนิกายต่างๆ ยอมรับความจริงเรื่องนี้และรู้สึกเศร้าใจ ศาสตราจารย์เอ็ดเวิร์ด เอ. ปาร์ค [Edwards A. Park] เปิดเผยถึงสภาพอันตรายของศาสนาในปัจจุบัน โดยกล่าวอย่างเชี่ยวชาญว่า “แหล่งหนึ่งของภัยอันตรายคือบนธรรมาสน์ละเลยการนำธรรมบัญญัติของพระเจ้ามาบังคับใช้ ในสมัยก่อนธรรมาสน์เป็นสถานที่ที่สะท้อนเสียงของสามัญสำนึก…...บรรดานักเทศน์เรืองนามที่สุดของเราเทศนาตามแบบอย่างของพระอาจารย์ได้อย่างดีเลิศและยกความโดดเด่นให้กับธรรมบัญญัติทั้งคำสอนและคำขู่ของธรรมบัญญัติ พวกเขาย้ำหลักการยิ่งใหญ่สองข้อ คือธรรมบัญญัติเป็นบันทึกสำเนาความบริบูรณ์ดีเลิศของพระเจ้า และผู้ที่ไม่รักธรรมบัญญัติก็ไม่ได้รักข่าวประเสริฐ เพราะว่าธรรมบัญญัติและข่าวประเสริฐเป็นภาพกระจกเงาสะท้อนให้เห็นถึงพระลักษณะที่แท้จริงของพระเจ้า ภัยอันตรายนี้นำไปสู่ภัยต่อไป คือการประเมินความชั่วร้ายของบาปไปในทางต่ำ ถึงขนาดไปลดคุณค่าของธรรมบัญญัติ ขอบข่ายของบาปและการคาดโทษของบาป ความยุติธรรมของพระบัญญัติเป็นสัดส่วนกับความผิดจากการไม่เชื่อปฏิบัติตามพระบัญญัติ..... {GC 465.2} GCth17 402.2

“ภัยอันตรายอีกเรื่องหนึ่งที่ผูกติดอยู่กับภัยอันตรายที่กล่าวมาแล้วข้างต้นคือการประเมินความยุติธรรมของพระเจ้าต่ำเกินไป ธรรมาสน์ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะแยกความยุติธรรมของพระเจ้าให้ออกไปจากพระเมตตาคุณของพระองค์ เพื่อทำให้พระเมตตาคุณเหลือเพียงแค่ความรู้สึกแทนที่จะยกชูให้เป็นหลักการ ความหลากหลายของศาสนศาสตร์แนวใหม่แยกสิ่งที่พระเจ้าทรงรวมเข้าไว้ด้วยกัน ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นสิ่งดีหรือชั่ว ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี ดังนั้น ความยุติธรรมก็เป็นสิ่งดีเพราะเป็นอำนาจที่นำธรรมบัญญัติมาปฏิบัติ ด้วยนิสัยของการประเมินกฎหมายและความยุติธรรมของพระเจ้าไปในทางต่ำ รวมทั้งขนาดและการลดคุณค่าของการไม่เชื่อฟัง มนุษย์ทั้งหลายจึงไถลลงไปสู่นิสัยการประเมินคุณค่าพระคุณที่ประทานให้เพื่อลบมลทินบาปไปทางต่ำ” ด้วยประการฉะนี้ ข่าวประเสริฐจึงสูญเสียคุณค่าและความสำคัญไปจากจิตใจของมนุษย์และในไม่ช้าพวกเขาก็พร้อมที่จะละทิ้งพระคัมภีร์ {GC 465.3} GCth17 402.3

ครูสอนศาสนามากมายยืนยันว่าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ พระองค์ได้ทรงยกเลิกธรรมบัญญัติไปแล้ว และตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมามนุษย์จึงหลุดพ้นจากข้อบังคับของธรรมบัญญัติ มีบางคนนำเสนอให้เห็นว่าธรรมบัญญัติเป็นแอกที่เศร้าสลด และพวกเขายังแสดงให้เห็นถึงเสรีภาพที่จะเพลิดเพลินภายใต้ข่าวประเสริฐที่ตรงกันข้ามกับพันธนาการของธรรมบัญญัติ {GC 466.1} GCth17 403.1

แต่ผู้เผยพระวจนะและอัครทูตทั้งหลายไม่ได้เห็นว่าธรรมบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเป็นเช่นนี้ กษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “ข้าพระองค์จะเดินอย่างอิสระเพราะข้าพระองค์ได้แสวงหาข้อบังคับของพระองค์” สดุดี 119:45 อัครทูตยากอบเขียนถึงพระบัญญัติสิบประการภายหลังจากพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ว่า เป็น “ธรรมบัญญัติของพระเจ้า” และ “เป็นธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพ” ยากอบ 2:8; 1:25 และอีกครึ่งศตวรรษหลังจากที่พระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน ผู้เผยพระวจนะแห่งพระธรรมวิวรณ์กล่าวอำนวยพรแก่ “คนทั้งหลายที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์…” “เพื่อว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิตและเข้าไปในนครนั้นโดยทางประตูได้” วิวรณ์ 22:14 Thai KJV TSV {GC 466.2} GCth17 403.2

คำที่ใช้อ้างกันว่าการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ลบล้างธรรมบัญญัติของพระบิดาไปแล้วนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีรากฐาน หากเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกธรรมบัญญัติได้ พระคริสต์ไม่จำเป็นต้องเสด็จมาสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยมนุษย์จากโทษแห่งบาป การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ไม่ได้มีไว้เพื่อลบล้างธรรมบัญญัติ แต่เพื่อพิสูจน์ว่าธรรมบัญญัติของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาเพื่อ “ทำให้ธรรมบัญญัตินั้นยิ่งใหญ่และมีเกียรติ” อิสยาห์ 42:21 พระองค์ตรัสว่า “อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ” “ฟ้าและดินจะล่วงไป แม้อักษรที่เล็กที่สุดหรือขีด ขีดหนึ่งก็จะไม่มีวันสูญไปจากธรรมบัญญัติ” มัทธิว 5:17, 18 และพระองค์ตรัสถึงพระองค์เองว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ยินดีทำตามพระทัยพระองค์ ธรรมบัญญัติของพระองค์อยู่ในจิตใจของข้าพระองค์” สดุดี 40:8 {GC 466.3} GCth17 403.3

โดยเนื้อแท้แล้ว ธรรมบัญญัติของพระเจ้าแปรเปลี่ยนไม่ได้ ธรรมบัญญัติเปิดเผยน้ำพระทัยและพระลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงเป็นความรักและธรรมบัญญัติของพระองค์คือความรัก หลักการยิ่งใหญ่สองประการของธรรมบัญญัติคือความรักที่ถวายพระเจ้าและความรักที่มีให้มนุษย์ “ความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน” โรม 13:10 พระลักษณะของพระเจ้าคือความชอบธรรมและความจริง และนี่เป็นลักษณะของธรรมบัญญัติของพระองค์ ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “ธรรมบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง” “พระบัญญัติทั้งสิ้นของพระองค์ก็ชอบธรรม” สดุดี 119:142, 172 และอัครทูตเปาโลเปิดเผยว่า “ธรรมบัญญัติจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และบัญญัตินั้นก็ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม” โรม 7:12 ธรรมบัญญัติเช่นนี้ซึ่งสำแดงถึงน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระเจ้าจะต้องยั่งยืนดั่งพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของธรรมบัญญัติ {GC 467.1} GCth17 404.1

การกลับใจและการชำระให้บริสุทธิ์ [Sanctification] เป็นพระราชกิจของการนำมนุษย์ให้คืนดีกับพระเจ้าด้วยการนำมนุษย์มาประสานเข้ากับหลักการของธรรมบัญญัติของพระองค์ ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ตามแบบพระฉายาของพระองค์ ให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยบริบูรณ์กับสภาพธรรมชาติและธรรมบัญญัติของพระเจ้า หลักการแห่งความชอบธรรมจารึกไว้ในจิตใจของเขา แต่บาปทำให้เขาเหินห่างไปจากพระผู้สร้างของเขา เขาไม่สะท้อนพระฉายาของพระเจ้าอีกต่อไป จิตใจของเขาต่อสู้กับหลักการของธรรมบัญญัติของพระเจ้า “การเอาใจใส่เนื้อหนังคือการเป็นศัตรูต่อพระเจ้า ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าและที่จริงไม่สามารถปฏิบัติตามได้” โรม 8:7 แต่ว่า “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์” ยอห์น 3:16 เพื่อมนุษย์จะกลับคืนดีกับพระเจ้า โดยพระคุณอันประเสริฐของพระคริสต์ เขากลับคืนไปสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันร่วมกับพระผู้สร้างของเขาอีก จิตใจของเขาจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ด้วยพระคุณของพระเจ้า เขาต้องมีชีวิตใหม่ที่ได้รับจากเบื้องบน การเปลี่ยนแปลงนี้คือการบังเกิดใหม่ พระเยซูตรัสว่า หากปราศจากการบังเกิดใหม่ เขา “ไม่สามารถเห็นแผ่นดินของพระเจ้า” ยอห์น 3:3 {GC 467.2} GCth17 404.2

ก้าวแรกของการคืนดีกับพระเจ้าคือการสำนึกในบาป “ บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ” “ ธรรมบัญญัตินั้นทำให้เรารู้จักบาป” 1 ยอห์น 3:4 โรม 3:20 ในการที่จะมองเห็นความผิดของตนเองได้นั้นจะ คนบาปจะต้องตรวจสอบอุปนิสัยของเขาเทียบกับมาตรฐานยิ่งใหญ่แห่งความชอบธรรมของพระเจ้า มาตรฐานนี้เป็นกระจกเงาที่จะส่องให้เห็นถึงอุปนิสัยชอบธรรมที่สมบูรณ์แบบและทำให้มองเห็นความบกพร่องของตนเอง {GC 467.3} GCth17 404.3

ธรรมบัญญัติเปิดเผยให้มนุษย์เห็นบาปของเขา แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้จัดเตรียมทางแก้ไว้ให้ ในขณะที่ธรรมบัญญัติสัญญาที่จะให้ชีวิตแก่ผู้ที่เชื่อฟัง แต่ธรรมบัญญัติก็ประกาศว่าความตายเป็นส่วนแบ่งที่มีไว้สำหรับผู้ล่วงละเมิด ข่าวประเสริฐของพระคริสต์เท่านั้นที่จะปลดปล่อยเขาให้พ้นจากการพิพากษาลงโทษหรือรอยมลทินของบาป เขาจะต้องกลับใจมาหาพระเจ้าผู้ที่ธรรมบัญญัติของพระองค์ได้ถูกล่วงละเมิด และมีความเชื่อในพระคริสต์ผู้ทรงเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ด้วยวิธีเหล่านี้เขาจะได้รับการ “ยกบาปที่ได้ทำไปแล้ว” โรม 3:20 และรับส่วนในสภาพของพระเจ้า เขาเป็นบุตรของพระเจ้าอันเนื่องจากพระวิญญาณทรงให้เขามีฐานะเป็นบุตรของพระเจ้า โดยพระวิญญาณนั้นเขาจึงร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา (พ่อ)” โรม 8:15 {GC 467.4} GCth17 404.4

บัดนี้เขามีเสรีที่จะล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้าหรือ เปาโลกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นเราลบล้างธรรมบัญญัติด้วยความเชื่อหรือ เปล่าเลย เรายังชูธรรมบัญญัติขึ้นอีก” “เราที่ตายต่อบาปแล้วจะมีชีวิตในบาปต่อได้อย่างไร” และยอห์นประกาศว่า “เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป” โรม 3:31; 6:2; 1 ยอห์น 5:3 การบังเกิดใหม่นำจิตใจให้กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้าและนำมาให้ประสานกับธรรมบัญญัติของพระองค์ เมื่อการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นในคนบาป เขาออกจากความตายเพื่อเข้าสู่ชีวิต ออกจากบาปไปสู่ความบริสุทธิ์ ออกจากการล่วงละเมิดและการกบฏเข้าสู่การเชื่อฟังและความภักดี ชีวิตเดิมที่เหินห่างจากพระเจ้าสิ้นสุดไป ชีวิตใหม่แห่งการกลับคืนดีกับพระเจ้า แห่งความเชื่อและแห่งความรักได้เริ่มต้นขึ้น และ “ความชอบธรรมของธรรมบัญญัติ” “จะได้สำเร็จในตัวเราที่ไม่ดำเนินตามเนื้อหนังแต่ตามฝ่ายวิญญาณ” โรม 8:4 และจิตวิญญาณของเขาจะพูดว่า “โอ ข้าพระองค์รักธรรมบัญญัติของพระองค์จริงๆ เป็นคำภาวนาของข้าพระองค์เสมอ” สดุดี 119:97 {GC 468.1} GCth17 405.1

“ธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ดีพร้อมและฟื้นฟูชีวิต” สดุดี 19:7 เมื่อปราศจากธรรมบัญญัติ มนุษย์จะมีแนวความคิดที่ไม่ถูกต้องในเรื่องของความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าหรือในเรื่องความผิดและความไม่บริสุทธิ์ของตนเอง พวกเขาไม่มีความสำนึกที่แท้จริงในบาป และไม่รู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องกลับใจจากบาป พวกเขามองไม่เห็นสภาพของตนเองว่าที่พวกเขาหลงไปนั้นเป็นการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงความต้องการพระโลหิตไถ่บาปของพระคริสต์ พวกเขารับความหวังแห่งความรอดโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงจิตใจโดยสิ้นเชิงหรือไม่มีการปฏิรูปชีวิตของเขา ดังนั้น การกลับใจอย่างผิวเผินจึงมีอยู่อย่างมากมาย และคนจำนวนมากเข้าร่วมคริสตจักรโดยที่ไม่เคยติดสนิทกับพระคริสต์ {GC 468.2} GCth17 405.2

ทฤษฎีผิดๆ เรื่องการชำระให้บริสุทธิ์ก็ผุดขึ้นมาจากการละเลยและละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ทฤษฎีนี้โดดเด่นอยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวทางศาสนาของทุกวันนี้ ทฤษฎีเหล่านี้เป็นทั้งหลักคำสอนที่ผิดๆ และให้ผลลัพธ์ของการปฏิบัติที่เป็นอันตราย ร่วมกับความเป็นจริงที่ว่าคนมากมายชื่นชอบทฤษฎีเหล่านี้ ทำให้มีความจำเป็นต้องลงแรงเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อทุกคนจะเข้าใจอย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระคัมภีร์สอนในเรื่องนี้ {GC 469.1} GCth17 406.1

การชำระให้บริสุทธิ์ที่แท้จริงเป็นหลักคำสอนของพระคัมภีร์ อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ในจดหมายที่เขียนถึงคริสตจักรเมืองเธสะโลนิกาว่า “พระประสงค์ของพระเจ้าเป็นอย่างนี้คือให้พวกท่านเป็นคนบริสุทธิ์” และท่านอธิษฐานว่า “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านทั้งหลายให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจด” 1 เธสะโลนิกา 4:3; 5:23 พระคัมภีร์สอนไว้อย่างชัดเจนว่าการชำระให้บริสุทธิ์คืออะไรและจะได้มาด้วยวิธีใด พระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ว่า “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” ยอห์น 17:17 และเปาโลสอนผู้เชื่อให้ “ชำระไว้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” โรม 15:16 อะไรคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูตรัสบอกสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล” ยอห์น 16:13 และผู้ประพันธ์สดุดีตรัสว่า “ธรรมบัญญัติของพระองค์เป็นความจริง” สดุดี 119:142 พระดำรัสและพระวิญญาณของพระเจ้าเปิดเผยให้มนุษย์เห็นถึงหลักการยิ่งใหญ่แห่งความชอบธรรมที่ฝังอยู่ในธรรมบัญญัติของพระองค์ และเนื่องจากธรรมบัญญัติของพระเจ้านั้น “ศักดิ์สิทธิ์ ยุติธรรมและดีงาม” โรม 7:12 และเป็นสำเนาความบริบูรณ์ดีเลิศของพระเจ้า ผลลัพธ์ที่ตามมาคือ อุปนิสัยที่สร้างพัฒนาขึ้นจากการเชื่อฟังธรรมบัญญัติจะต้องบริสุทธิ์ด้วยเช่นกัน พระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่บริบูรณ์ดีเลิศของอุปนิสัยเช่นนี้ พระองค์ตรัสว่า “เราประพฤติตามบัญญัติของพระบิดา” “เราทำตามชอบพระทัยของพระองค์เสมอ” ยอห์น 15:10; 8:29 บรรดาผู้ติดตามของพระคริสต์จะต้องเป็นเหมือนพระองค์ นั่นคือโดยพระคุณของพระเจ้าเพื่อสร้างอุปนิสัยที่กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับหลักการของธรรมบัญญัติของพระองค์ นี่คือการชำระให้บริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์ {GC 469.2} GCth17 406.2

การชำระให้บริสุทธิ์นี้จะสำเร็จได้โดยความเชื่อในพระคริสต์เท่านั้นด้วยอำนาจของพระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ร่วมด้วย เปาโลเตือนผู้เชื่อว่า “ท่านจงอุตสาห์ประพฤติอย่างสมกับความรอดของท่านทั้งหลายด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่น.....เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่านให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” ฟีลิปปี 2:12, 13 คริสเตียนจะรู้สึกถึงความเย้ายวนใจของบาป แต่เขาจะยังคงยืนหยัดต่อสู้บาปอยู่เสมอ นี่เป็นจุดที่เขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือของพระคริสต์ เมื่อความอ่อนแอของมนุษย์เข้าประสานกับความเข้มแข็งของพระเจ้า แล้วเขาจะร้องขึ้นด้วยความเชื่อว่า “สาธุการแด่พระเจ้าผู้ประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” 1 โครินธ์ 15:57 {GC 469.3} GCth17 406.3

พระคัมภีร์เปิดเผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผลของการชำระให้บริสุทธิ์นั้นจะก้าวหน้าขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อคนบาปกลับใจ เขาจะพบสันติสุขในพระเจ้าผ่านทางพระโลหิตแห่งการลบมลทินบาป ชีวิตของคริสเตียนคนนั้นเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น บัดนี้เขาจะต้อง “ไปสู่ความเป็นผู้ใหญ่” ฮีบรู 6:1 เพื่อที่จะเติบใหญ่ขึ้น “เต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์” เอเฟซัส 4:13 อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ว่า “ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมา แล้วโน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า และข้าพเจ้าบากบั่นมุ่งหน้าไปสู่หลักชัยเพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” ฟีลิปปี 3:13, 14 และเปโตรวางขั้นตอนที่เราจะบรรลุถึงการชำระตนให้บริสุทธิ์ตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “พวกท่านจงพยายามอย่างที่สุดที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อของพวกท่าน เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาการควบคุมตัวเองเพิ่มความรู้ เอาความทรหดอดทนเพิ่มการควบคุมตัวเอง และเอาความยำเกรงพระเจ้าเพิ่มความทรหดอดทน เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มความยำเกรงพระเจ้า และเอาความรักเพิ่มความรักฉันพี่น้อง..... ถ้าพวกท่านทำเช่นนั้น ท่านจะไม่มีวันล้มลง” 2 เปโตร 1:5-10 {GC 470.1} GCth17 407.1

ผู้ที่มีประสบการณ์ของการชำระให้บริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์จะแสดงออกถึงวิญญาณแห่งความถ่อมตน เช่นเดียวกับโมเสส พวกเขามองเห็นความบริสุทธิ์ยิ่งใหญ่ที่น่าเกรงขามและเห็นว่าตนเองไม่คู่ควรที่จะนำมาเทียบกับความบริสุทธิ์และความบริบูรณ์อันสูงส่งของพระเจ้าผู้ทรงไม่มีขอบเขตจำกัด {GC 470.2} GCth17 407.2

ชีวิตของผู้เผยพระวจนะดาเนียลเป็นแบบอย่างของผู้ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วอย่างแท้จริง ชีวิตอันยืนยาวนั้นเปี่ยมล้นด้วยการรับใช้อย่างมีเกียรติเพื่อพระอาจารย์ของเขา เขา “ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง” ดาเนียล 10:11 ของสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น แทนที่ดาเนียลจะอ้างว่าตนเป็นผู้ที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ ผู้เผยพระวจนะผู้มีเกียรติท่านนี้แสดงตนเองว่าเป็นชนชาติอิสราเอลที่บาปหนาทูลขอต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้าเพื่อประชากรของท่าน ท่านกล่าวว่า “ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ได้ถวายคำวิงวอนต่อพระองค์ด้วยอ้างความชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหตุ แต่ได้อ้างพระกรุณายิ่งใหญ่ของพระองค์” “ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ทำบาปและทำความอธรรม” ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ากำลังพูด อธิษฐานสารภาพบาปของข้าพเจ้าและบาปของอิสราเอลประชากรของข้าพเจ้า” และในภายหลัง เมื่อพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาปรากฏแก่ดาเนียลเพื่อประทานคำแนะนำ ดาเนียลบอกว่า “ข้าพเจ้าก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง หน้าของข้าพเจ้าก็ซีดไป ข้าพเจ้าหมดแรง” ดาเนียล 9:18, 15, 20; 10:8 {GC 470.3} GCth17 407.3

เมื่อโยบได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ออกมาจากลมพายุหมุนนั้น เขาอุทานขึ้นมาว่า “ข้าพระองค์จึงเกลียดตนเองและกลับใจอยู่ในผงคลีและขี้เถ้า” โยบ 42:6 เมื่ออิสยาห์เห็นพระสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าและได้ยินเสียงเสราฟิมร้องว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ พระยาห์เวห์จอมทัพ” เขาจึงร้องขึ้นว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพินาศแล้ว” อิสยาห์ 6:3, 5 หลังจากเปาโลถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สามและได้ยินเรื่องราวต่างๆ ที่มนุษย์ไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูด ท่านกล่าวถึงตนเองว่า “เป็นคนเล็กน้อยยิ่งกว่าคนเล็กน้อยที่สุดในพวกธรรมิกชนทั้งหมด” 2 โครินธ์ 12:2-4 เอเฟซัส 3:8 สำหรับยอห์น ผู้เป็นสาวกที่พระองค์ทรงรัก เป็นผู้เอนกายลงแนบพระอุระของพระเยซู เมื่อมองเห็นพระสิริของพระองค์ เขาเองยัง “ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนอย่างคนตาย” วิวรณ์ 1:17 {GC 471.1} GCth17 408.1

ผู้ที่ดำเนินอยู่ภายใต้ร่มเงาของกางเขนแห่งคาลวารี จะไม่ยกตนขึ้น ไม่โอ้อวดกล่าวอ้างว่าตนเองหลุดพ้นจากบาปแล้ว พวกเขาตระหนักว่าเป็นเพราะบาปของเขาที่นำความปวดร้าวมาสู่พระหทัยของพระบุตรของพระเจ้า และความคิดนี้จึงทำให้เขาถ่อมใจลง ผู้ที่ดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุดจะมองเห็นความอ่อนแอและบาปของมนุษยชาติได้อย่างชัดเจนที่สุด และความหวังเดียวของพวกเขาอยู่ที่พระคุณความดีของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขนและกลับเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว {GC 471.2} GCth17 408.2

การชำระให้บริสุทธิ์ที่กำลังได้รับความนิยมในโลกแห่งศาสนานั้น จะมีเรื่องของวิญญาณแห่งการยกตนและการละเลยพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งทำให้เรื่องการชำระนี้กลายเป็นสิ่งที่ผิดไปจากหลักคำสอนของพระคัมภีร์ ผู้ที่ให้การสนับสนุนหลักคำสอนนี้สอนว่าการชำระให้บริสุทธิ์เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยทันที ได้มาด้วยความเชื่อเท่านั้น และจะบรรลุไปจนถึงความบริสุทธิ์อย่างบริบูรณ์ พวกเขาจะพูดว่า “เชื่อเท่านั้น แล้วพระพรจะเป็นของท่าน” ผู้รับไม่ต้องพยายามทำสิ่งใดอีก ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาต่างคิดกันไปเอง ในขณะเดียวกันพวกเขาปฏิเสธอำนาจของธรรมบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาอ้างว่าได้รับการปลดปล่อยจากข้อผูกพันของการถือรักษาพระบัญญัติแล้ว แต่จะเป็นไปได้หรือ ที่มนุษย์จะเป็นผู้บริสุทธิ์สอดคล้องตามน้ำพระทัยและพระลักษณะของพระเจ้าโดยไม่ต้องเข้ามาประสานกลมกลืนกับหลักการต่างๆ ที่สำแดงให้เห็นถึงธรรมชาติและน้ำพระทัยของพระองค์ และที่แสดงว่าเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ {GC 471.3} GCth17 408.3

ความต้องการอยากจะมีศาสนาที่ง่ายๆ ซึ่งไม่ต้องใช้ความมานะบากบั่น ไม่ต้องปฏิเสธตนเอง ไม่ต้องแยกตัวออกจากความโง่เขลาของโลกทำให้หลักคำสอนที่ว่าเชื่อและต้องเชื่อเท่านั้นกลายเป็นหลักคำสอนที่ได้รับความนิยม แต่พระวจนะของพระเจ้าบอกไว้อย่างไร อัครทูตยากอบบอกไว้ว่า “ใครจะกล่าวว่าตนมีความเชื่อแต่ไม่ประพฤติตามจะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อนั้นจะช่วยให้เขารอดได้หรือ.....คนโฉดเขลาเอ๋ย ท่านต้องการให้พิสูจน์ว่าความเชื่อที่ไม่มีการประพฤติตามนั้นไร้ผลหรือ อับราฮัม บรรพบุรุษของเราถวายอิสอัคบุตรของท่านบนแท่นบูชาจึงถูกชำระให้ชอบธรรมเพราะการประพฤติไม่ใช่หรือ ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อนั้นทำงานควบคู่กับการประพฤติตามของเขาและความเชื่อก็สมบูรณ์โดยการประพฤตินั้น.....พวกท่านก็เห็นแล้วว่า คนหนึ่งคนใดจะถูกชำระให้ชอบธรรมได้ก็เพราะการประพฤติและไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว” ยากอบ 2:14-24 {GC 472.1} GCth17 409.1

คำพยานจากพระวจนะของพระเจ้าต่อต้านหลักคำสอนอันหลอกลวงเกี่ยวกับความเชื่อที่ปราศจากการกระทำ การอ้างความโปรดปรานของสวรรค์โดยไม่ทำตามข้อกำหนดที่เป็นเงื่อนไขเพื่อรับความเมตตานั้นไม่ใช่ความเชื่อ แต่เป็นการทึกทักคิดเอาเอง เพราะความเชื่อที่แท้จริงต้องมีรากฐานวางอยู่บนพระสัญญาและเงื่อนไขของพระคัมภีร์ {GC 472.2} GCth17 409.2

อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตนเองด้วยความเชื่อที่ว่าเขาจะเป็นผู้บริสุทธิ์ได้ในขณะที่ตั้งใจละเมิดบัญญัติข้อใดข้อหนึ่งของพระเจ้า การกระทำความผิดในสิ่งที่รู้ว่าบาปจะทำให้พระสุรเสียงของพระวิญญาณที่เป็นพยานนั้นนิ่งเงียบไปและทำให้จิตวิญญาณแยกออกไปจากพระเจ้า “บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ” และ “ผู้ใดที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ [กระทำผิดธรรมบัญญัติ] คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์และยังไม่รู้จักพระองค์” 1 ยอห์น 3:1, 4, 6 ถึงแม้ในจดหมายของยอห์นจะเขียนถึงเรื่องความรักไว้อย่างเต็มที่ แต่ยอห์นก็ไม่ลังเลใจที่จะเปิดเผยถึงลักษณะที่แท้จริงของคนอีกกลุ่มหนึ่งที่อ้างว่าตนได้รับการชำระแต่ยังมีชีวิตที่ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระเจ้า “ผู้ที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์’ แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและสัจจะไม่ได้อยู่ในเขาเลย แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในคนนั้นอย่างแท้จริง” 1 ยอห์น 2:4, 5 นี่เป็นวิธีทดสอบความเชื่อของมนุษย์ทุกคน เราไม่อาจยอมรับว่ามนุษย์คนใดเป็นผู้บริสุทธิ์โดยไม่ได้นำผู้นั้นไปวัดเทียบกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าซึ่งเป็นเพียงมาตรฐานเดียวของทั้งในสวรรค์และในโลก หากมนุษย์ไม่มีความรู้สึกถึงความสำคัญของบัญญัติแห่งศีลธรรม หากพวกเขาดูแคลนและทำให้ข้อบังคับของพระเจ้าดูเป็นเรื่องเล็กน้อย หากผู้ใดทำให้ข้อเล็กน้อยสักข้อหนึ่งในธรรมบัญญัติเหล่านี้เบาลงทั้งสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย ผู้นั้นก็จะไม่มีค่าในสายตาของสวรรค์และเราจะรู้ว่าคำอ้างของพวกเขานั้นปราศจากรากฐาน {GC 472.3} GCth17 409.3

การอ้างว่าตนไม่มีบาปเป็นหลักฐานในตัวเองที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่อ้างตนเช่นนี้ยังห่างไกลจากความบริสุทธิ์ ทั้งนี้เป็นเพราะเขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริงถึงเรื่องความบริสุทธิ์อันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเจ้าและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์หรือในเรื่องที่ว่าเขาควรจะต้องกลายเป็นคนเช่นไรจึงจะมีบุคลิกที่ประสานกลมกลืนกับพระลักษณะของพระองค์ เป็นเพราะเขาไม่มีแนวคิดที่ถูกต้องในเรื่องความรักที่บริสุทธิ์และสูงส่งของพระเยซู รวมถึงความร้ายกาจและความชั่วช้าของบาปที่มนุษย์ถือว่าตนเองบริสุทธิ์ ยิ่งระยะทางระหว่างตัวเขาเองกับพระคริสต์ห่างมากขึ้นร่วมกับแนวคิดของเขาบกพร่องในเรื่องพระลักษณะและข้อกำหนดของพระเจ้ามากยิ่งขึ้นเท่าใด เขาก็จะยิ่งมองว่าตนเองมีความชอบธรรมมากยิ่งขึ้นเท่านั้น {GC 473.1} GCth17 410.1

การชำระให้บริสุทธิ์ตามที่พระคัมภีร์กล่าวไว้หมายรวมถึงร่างกายทั้งหมด คือ จิตวิญญาณ จิตใจและร่างกาย เปาโลอธิษฐานเผื่อชาวเมืองเธสะโลนิกาเพื่อให้พระเจ้าทรงรักษา “วิญญาณ จิตใจและร่างกาย.....ให้ปราศจากการติเตียนจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราจะเสด็จมา” 1 เธสะโลนิกา 5:23 อีกครั้งเขาเขียนไปหาผู้เชื่อว่า “พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์เพื่อเป็นเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิตและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” โรม 12:1 ในสมัยของชนชาติอิสราเอลโบราณ ของบูชาที่นำมาถวายพระเจ้าจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด หากพบตำหนิใดในสัตว์ที่นำมาถวายก็จะไม่รับสัตว์ตัวนั้นไว้ เพราะพระเจ้าตรัสสั่งไว้ว่าของที่นำมาถวายต้อง “ปราศจากตำหนิ” ดังนั้นคริสเตียนจึงได้รับบัญชาให้ถวายร่างกายของเขาให้เป็น “เครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ที่มีชีวิตและเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า” ในการที่จะทำสิ่งนี้ได้นั้น เขาจะต้องถนอมรักษากำลังทั้งหมดของเขาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด การกระทำทุกอย่างที่ทำให้กำลังทางฝ่ายกายหรือทางความคิดอ่อนแอลงจะทำให้บุคคลนั้นไม่เหมาะที่จะรับใช้พระผู้สร้างของเขา และพระเจ้าจะทรงพอพระทัยกับของถวายซึ่งด้อยกว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่เราสามารถนำมาถวายได้หรือ พระคริสต์ตรัสว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน” มัทธิว 22:37 ผู้ที่รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจจะปรารถนาที่จะถวายการรับใช้ด้วยชีวิตที่ดีที่สุดให้แก่พระองค์และจะแสวงหาอยู่เสมอที่จะนำกำลังทั้งหมดในชีวิตให้สอดประสานกลมกลืนกับกฎบัญญัติที่จะส่งเสริมความสามารถของเขาเพื่อทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ พวกเขาจะไม่ทำให้เครื่องบูชาที่จะถวายต่อพระบิดาบนสวรรค์ต้องอ่อนแอลงหรือเป็นมลทินด้วยการปล่อยตัวให้หมกมุ่นกับการตามใจปากหรือตัณหา {GC 473.2} GCth17 410.2

เปโตรกล่าวไว้ว่า “ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนังซึ่งต่อสู้กับวิญญาณจิต” 1 เปโตร 2:11 ทุกการสนองความพึงพอใจที่เป็นความผิดบาปมีแนวโน้มที่จะทำให้ความสามารถของการรับรู้ฝ่ายปัญญาและฝ่ายจิตวิญญาณเย็นชาและตายด้านไป และพระวจนะหรือพระวิญญาณของพระเจ้าจะสร้างความซาบซึ้งต่อจิตใจได้แต่เพียงเล็กน้อย เปาโลเขียนไปถึงชาวเมืองโครินธ์ว่า “ขอให้เราชำระตัวเองให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณจิต จงมีความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ด้วยความเกรงกลัวพระเจ้า” 2 โครินธ์ 7:1 และในบรรดาผลของพระวิญญาณอันประกอบด้วย “ความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์ ความสุภาพอ่อนโยน” นั้น เปาโลยังรวม “การรู้จักบังคับตน” เข้าไปด้วย กาลาเทีย 5:22, 23 {GC 474.1} GCth17 411.1

ทั้งๆ ที่มีการดลใจเปิดเผยถึงเรื่องเหล่านี้ก็ตาม แต่มีผู้ที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนสักกี่คนที่ทำให้พละกำลังของเขาอ่อนแอลงด้วยการแสวงหาทรัพย์สมบัติหรือด้วยการเทิดทูนบูชาสิ่งที่กำลังเป็นที่นิยมกัน มีสักกี่คนที่กำลังทำให้ความเป็นมนุษย์ที่มีแบบพระฉายาของพระเจ้าตกต่ำลงด้วยความตะกละตะกลาม การดื่มสุรา ความสนุกสนานในสิ่งต้องห้าม และคริสตจักรแทนที่จะตำหนิการกระทำเหล่านี้ บ่อยครั้งกลับกลายเป็นผู้สนับสนุนความชั่วโดยชักนำผ่านในเรื่องของความอยากอาหารอย่างตะกละตะกลาม ให้ทะเยอทะยานอยากได้ทรัพย์สินหรือการรักในความสนุกสนาน ให้สะสมทรัพย์สมบัติ ซึ่งความรักที่ควรจะมีให้กับพระคริสต์นั้นมีน้อยเกินไป หากในวันนี้ พระเยซูจะเสด็จมายังคริสตจักรต่างๆ และทอดพระเนตรงานเลี้ยงและการค้าขายที่ไม่บริสุทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งกระทำกันในนามของศาสนา พระองค์จะไม่ทรงขับไล่คนทั้งหลายที่ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ให้ออกไปเหมือนดังเช่นที่พระองค์ทรงเคยขับไล่คนแลกเงินออกจากพระวิหารหรือ {GC 474.2} GCth17 411.2

อัครทูตยากอบเปิดเผยว่าปัญญาที่มาจากเบื้องบนนั้น “บริสุทธิ์เป็นประการแรก” ยากอบ 3:17 หากเขามาพบคนเหล่านั้นที่อ้างพระนามอันล้ำค่าของพระเยซูด้วยริมฝีปากที่เป็นมลทินด้วยบุหรี่ ลมหายใจและลำตัวแปดเปื้อนด้วยกลิ่นสกปรกและยังทำให้บรรยากาศของฟ้าสวรรค์เปรอะเปื้อนพร้อมทั้งบังคับทุกคนรอบตัวพวกเขาให้สูดควันพิษ หากอัครทูตท่านนี้สัมผัสกับการดำเนินชีวิตที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐอันบริสุทธิ์ เขาจะไม่ปรักปรำตำหนิคนเหล่านี้ว่า “ปัญญาฝ่ายโลก ฝ่ายเนื้อหนังและฝ่ายปีศาจ” หรือ ยากอบ 3:15 บรรดาทาสของบุหรี่ที่อ้างว่าตนได้รับพระพรด้วยการชำระให้บริสุทธิ์อย่างหมดจดแล้ว จะพูดถึงความหวังของพวกเขาในแผ่นดินสวรรค์ แต่พระวจนะของพระเจ้าประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทิน....จะเข้าไปในนครนั้นได้เลย” วิวรณ์ 21:27 {GC 474.3} GCth17 411.3

“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า และท่านทั้งหลายไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง เพราะว่าพระเจ้าทรงซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง ฉะนั้น จงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของพวกท่านเถิด” 1 โครินธ์ 6:19, 20 ผู้ที่มีร่างกายเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ตกเป็นทาสของนิสัยที่ชั่วช้า กำลังวังชาของเขาเป็นของพระคริสต์ผู้ทรงไถ่เขาไว้แล้วด้วยพระโลหิต ทรัพย์สมบัติของเขาเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะไม่มีความผิดได้อย่างไร เมื่อเขาผลาญทรัพย์สินที่เขาได้รับฝากไว้ ในแต่ละปี ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนใช้จ่ายเงินจำนวนมหาศาลกับสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์และกับการปล่อยตัวให้หมกมุ่นอยู่กับสิ่งชั่วร้าย ในขณะที่จิตวิญญาณกำลังพินาศเพราะขาดพระวจนะแห่งชีวิต พวกเขาลักขโมยเงินสิบลดและเงินถวายจากพระเจ้า ในขณะที่พวกเขาใช้เงินไปกับการบูชาตัณหาชั่วที่ทำลายล้างมากกว่าที่จะนำไปช่วยเหลือคนยากจนหรือเพื่อสนับสนุนข่าวประเสริฐ หากทุกคนที่อ้างตนว่าเป็นผู้ติดตามพระคริสต์จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้ว เงินทองของเขาจะเข้าไปสู่พระคลังขององค์พระผู้เป็นเจ้าแทนที่จะใช้ไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นและแม้แต่การปล่อยตัวหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ให้โทษแก่ร่างกาย และคริสเตียนจะต้องเป็นแบบอย่างของการบังคับตน การปฏิเสธตนเองและการเสียสละตน แล้วพวกเขาจึงจะเป็นแสงสว่างของโลก {GC 475.1} GCth17 412.1

โลกปล่อยตัวให้หมกมุ่นอยู่ในโลกียวิสัย “ตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศ” 1 ยอห์น 2:16 ครอบงำประชาชนทั่วไป แต่การทรงเรียกของผู้ติดตามพระคริสต์นั้นมีความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์กว่านี้ “จงออกจากท่ามกลางพวกเขาและจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย.....อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด” 2 โครินธ์ 6:17 ภายใต้ความกระจ่างของพระวจนะของพระเจ้า เราประกาศได้อย่างมั่นใจโดยไม่ต้องแก้ตัวว่า การชำระให้บริสุทธิ์ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นไม่ได้หากไม่มีการละทิ้งโดยสิ้นเชิงซึ่งการไล่ล่าในทางบาปและการสนองความอยากทางฝ่ายโลก {GC 475.2} GCth17 412.2

สำหรับผู้ที่ยอมประพฤติตามเงื่อนไขที่ว่า “จงออกจากท่ามกลางพวกเขาและจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย.....อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด” นั้นพระสัญญาของพระเจ้าคือ “แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าไว้ เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้าและพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น” 2 โครินธ์ 6:17, 18 เป็นสิทธิพิเศษและเป็นหน้าที่ของคริสเตียนทุกคนที่จะรับประสบการณ์อันมีค่าและเต็มเปี่ยมในเรื่องต่างๆ ของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” ยอห์น 8:12 “วิถีของคนชอบธรรมเหมือนแสงอรุณ ซึ่งฉายสุกใสยิ่งๆ ขึ้นจนสว่างเต็มที่” สุภาษิต 4:18 ทุกย่างก้าวแห่งความเชื่อและการเชื่อฟังจะนำจิตวิญญาณให้เข้ามาติดสนิทกับพระเจ้าผู้ทรงเป็นความสว่างของโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่ง “ความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” 1 ยอห์น 1:5 ลำแสงสว่างเจิดจ้าของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมจะส่องลงมายังผู้รับใช้ของพระเจ้าและพวกเขาจะสะท้อนแสงสว่างของพระองค์ ในขณะที่ดวงดาวบอกเราว่า ในฟ้าสวรรค์มีแสงสว่างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นสง่าราศีที่ทำให้ดวงดาวสุกใสสว่างเจิดจ้า คริสเตียนก็ควรเป็นเช่นนี้เหมือนกัน พวกเขาจะต้องสำแดงให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้สถิตอยู่บนบัลลังก์ของจักรวาล พระลักษณะของพระองค์สมควรที่จะรับคำสรรเสริญและรับไว้เป็นแบบอย่าง ผู้ที่เป็นพยานของพระองค์จะแสดงให้ทุกคนเห็นถึงพระคุณแห่งพระวิญญาณของพระองค์ ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์แห่งพระลักษณะของพระองค์ {GC 475.3} GCth17 412.3

ในจดหมายของเปาโลที่เขียนถึงชาวเมืองโคโลสีเผยให้เห็นถึงพระพรอันอุดมที่ทรงโปรดประทานให้เหล่าบุตรของพระเจ้า ท่านเขียนไว้ว่า “เราไม่ได้หยุดอธิษฐานและทูลขอเพื่อท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านเต็มเปี่ยมด้วยความรู้เรื่องพระประสงค์ของพระองค์โดยสรรพปัญญาและความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อพวกท่านจะดำเนินชีวิตอย่างสมควรต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และจะเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ทุกประการคือให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และเจริญขึ้นในความรู้ถึงเรื่องพระเจ้า ให้พวกท่านมีกำลังด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้นตามอนุภาพแห่งพระสิริของพระองค์ เพื่อให้ท่านมีความทรหดอดทน และมีความอดทนในทุกสิ่งพร้อมทั้งมีความยินดี” โคโลสี 1:9-11 {GC 476.1} GCth17 413.1

อีกครั้งเปาโลเขียนถึงความปรารถนาที่จะให้พี่น้องในเมืองเอเฟซัสเข้าใจถึงสิทธิพิเศษอันสูงส่งของการเป็นคริสเตียน ท่านเปิดเผยให้พวกเขาทราบด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายที่สุดว่า บุตรชายและบุตรหญิงขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับอำนาจและความรู้อันมหัศจรรย์ยิ่ง “ขอให้ประทานความเข้มแข็งภายในจิตใจด้วยฤทธานุภาพที่มาทางพระวิญญาณของพระองค์แก่พวกท่านตามพระสิริอันอุดมของพระองค์” เพื่อ “หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก” เพื่อ “ให้ท่านสามารถเข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ซึ่งเกินความรู้” แต่คำอธิษฐานของอัครทูตไปถึงสิทธิพิเศษสูงสุดเมื่ออธิษฐานว่า “เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” เอเฟซัส 3:16-19 {GC 476.2} GCth17 413.2

พระคัมภีร์เผยให้เราเห็นถึงสิ่งสูงสุดที่เราจะรับโดยความเชื่อในพระสัญญาของพระบิดาบนสวรรค์ เมื่อเราปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระองค์ โดยผ่านพระคุณแห่งความดีงามอันประเสริฐของพระคริสต์ เราเข้าถึงพระที่นั่งของพระเจ้าผู้ทรงกอปรด้วยฤทธานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุด “พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” โรม 8:32 พระบิดาประทานพระวิญญาณของพระองค์โดยไม่จำกัดให้แก่พระบุตรและเราจะมีส่วนในความไพบูลย์นี้ด้วย พระเยซูตรัสว่า “เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์” ลูกา 11:13 “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น” “จนบัดนี้พวกท่านก็ยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม” ยอห์น 14:14; 16:24 {GC 477.1} GCth17 414.1

ในขณะที่ชีวิตของคริสเตียนจะมีลักษณะของความถ่อมใจ แต่เขาจะต้องไม่เป็นคนที่โศกเศร้าและลดค่าตัวเอง เป็นโอกาสของทุกคนที่จะดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้าจะทรงเห็นชอบและอวยพระพร ไม่ใช่พระประสงค์ของพระบิดาในสวรรค์ของเราที่จะให้เราถูกปรับโทษและอยู่ในความมืดมนตลอดไป การเดินก้มหน้าและจิตใจที่คิดถึงแต่เพียงตนเอง ไม่ใช่สิ่งที่พิสูจน์ถึงการถ่อมใจที่แท้จริง เราเข้าหาพระเยซูและรับการชำระและยืนขึ้นต่อหน้าพระบัญญัติโดยปราศจากความละอายและความเศร้าโศก “เพราะฉะนั้นไม่มีการลงโทษคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” “ที่ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามพระวิญญาณ” โรม 8:1, 4 {GC 477.2} GCth17 414.2

โดยทางพระเยซู เหล่าบุตรของอาดัมที่ล้มลงในบาปจะได้เป็น “ลูกของพระเจ้า” 1 ยอห์น 3:2 “ทั้งผู้ชำระให้บริสุทธิ์และคนเหล่านั้นที่ได้รับการชำระ ก็มีพระบิดาองค์เดียวกัน ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงไม่ทรงละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่าพี่น้อง” ฮีบรู 2:11 ชีวิตของคริสเตียนจะต้องเป็นชีวิตแห่งความเชื่อ ชีวิตแห่งชัยชนะและชีวิตที่ปีติยินดีในพระเจ้า “เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก” 1 ยอห์น 5:4 เนหะมีย์ผู้รับใช้ของพระเจ้ากล่าวด้วยความจริงใจว่า “ความชื่นบานของตนในพระยาห์เวห์เป็นกำลังของท่าน” เนหะมีย์ 8:10 และเปาโลกล่าวว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด” “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับพวกท่านในพระเยซูคริสต์” ฟีลิปปี 4: 4 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 {GC 477.3} GCth17 414.3

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นผลของการกลับใจและการชำระให้บริสุทธิ์ตามพระคัมภีร์ และเนื่องจากว่าโลกคริสเตียนไม่ได้ใส่ใจหลักการยิ่งใหญ่ของความชอบธรรมที่พระบัญญัติของพระเจ้าเปิดเผยไว้ เราจึงไม่ค่อยได้เห็นถึงผลเหล่านี้ นี่เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมจึงไม่ค่อยเห็นผลงานยิ่งใหญ่และยั่งยืนของพระวิญญาณของพระเจ้า เหมือนเช่นการฟื้นฟูที่เคยเกิดขึ้นในอดีต {GC 478.1} GCth17 415.1

ด้วยการเฝ้ามองก็จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในตัวเรา และในขณะที่ธรรมบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าซึ่งเผยให้มนุษย์เห็นถึงพระลักษณะที่สมบูรณ์และบริสุทธิ์ของพระองค์ถูกละเลย ความนึกคิดของคนทั้งหลายจึงถูกหันเหไปหาคำสอนและทฤษฎีของมนุษย์ จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ทำไมความเคร่งครัดทางศาสนาในคริสตจักรจึงลดน้อยถอยลงเช่นนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เขาได้ทอดทิ้งเราซึ่งเป็นน้ำพุที่มีน้ำแห่งชีวิต แล้วสกัดบ่อน้ำไว้สำหรับตนเอง เป็นบ่อแตกที่ขังน้ำไม่ได้” เยเรมีย์ 2:13 {GC 478.2} GCth17 415.2

“บุคคลผู้เป็นสุขคือผู้ไม่เดินตามคำแนะนำของคนอธรรม.......แต่ความปีติยินดีของผู้นั้นอยู่ในธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ เขาใคร่ครวญธรรมบัญญัติของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน เขาเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง ทุกอย่างที่เขาทำก็จำเริญขึ้น” สดุดี 1:1-3 การนำพระบัญญัติของพระเจ้าให้กลับคืนสู่สภาพเดิมในที่ๆ ถูกต้องเท่านั้นจึงจะฟื้นฟูให้คนทั้งหลายกลับมีความเชื่อและศีลธรรมตามอย่างพระเจ้าในแบบดั้งเดิมได้ “พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า ‘จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้น ว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น และให้จิตใจของเจ้าได้ความสงบ’ ” เยเรมีย์ 6:16 {GC 478.3} GCth17 415.3

*****